ทุกทิศทั่วไทย น้อมดวงใจทำกิจกรรมถวายกำลังใจ “กรมสมเด็จพระเทพฯ”  ถวายพระพรชัยให้ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง ด้วยความรู้สึก รัก และเทิดทูน ต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ตรากตรำ ทรงงาน ยังประโยชน์ต่อพสกนิกรชาวไทย ตลอดพระชนมายุ อย่างไม่รู้เหน็ด รู้เหนื่อย

ความรู้สึกของประชาชนชาวไทย ที่น้อมใจถวายกำลังใจ มีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะประชาชนคนไทย ต่างรู้สึกเฉกเช่นเดียวกันโดยไม่ต้องนัดหมาย และด้วยท่าที การแสดงออกโดยพร้อมเพรียงกันเช่นนี้ ย่อมสะท้อนและแสดงให้เห็นว่า ประชาชนของพระองค์ รัก “เจ้าหญิงนักพัฒนา” เพียงใด

กิจกรรมถวายกำลังใจ กรมสมเด็จพระเทพฯ ตลอดทั้งห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีขึ้นในหลายหน่วยงานทั้งในส่วนของกระทรวง ต่างๆ จังหวัด ภาคเอกชน โรงเรียน รวมทั้งกองทัพ คือภาพสะท้อนที่แสดงให้เห็นถึง “พลัง” แห่งความจงรักภักดี ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์  ภายหลังจากที่ถูก “กลุ่มบุคคล” จงใจกระทำจาบจ้วง ก้าวล่วง

เมื่อ “ตะวัน” ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และ “แฟรงค์” ณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร สมาชิกกลุ่มทะลุวัง ที่ขับรถและบีบแตรคุกคามขบวนเสด็จ กรมสมเด็จพระเทพฯ ที่ผ่านมา  พร้อมทั้งมีการไลฟ์สด และขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไปห้ามปรามในวันเกิดเหตุที่ผ่านมา

แน่นอนว่า จากการกระทำดังกล่าว ได้สร้างความไม่พอใจ ความโกรธ  และความอึดอัดขึ้นภายในใจของประชาชนชาวไทยเพราะไม่มีใคร “ยอมรับได้” กับสิ่งที่เกิดขึ้นได้

กรณีที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ย่อมไม่ใช่การปั่นป่วน จงใจคุกคาม จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยกลุ่มเยาวชนตามปกติทั่วไปเท่านั้น  อย่าลืมว่าการเคลื่อนไหวในลักษณะก้าวล่วงสถาบันอันเป็นที่รักของประชาชนคนไทยนั้น ถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีขึ้นและดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา พร้อมๆกับการสนับสนุน “ทางอ้อม” จากบางพรรคการเมือง ที่มีแนวคิดว่าด้วยการ “ปฏิรูปสถาบัน” อันมีแนวคิดรับทอดมาจาก “นักวิชาการซ้ายจัด” จากสถาบันการศึกษา

การแตกแยกของผู้คนในบ้านเมือง โดยมีวาระเรื่องการเสนอแนวคิดปฏิรูปสถาบัน ไปจนถึงการ “ยกเลิก”  มาตรา 112 ในกฎหมายอาญา  ต่างกรรมต่างวาระมาอย่างต่อเนื่อง

ก่อนหน้าวันที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะแจ้งหมายจับ และเข้าจับกุม ตะวัน และแฟรงค์ ทะลุวัง ได้เกิดเหตุปะทะกันที่บริเวณทางเชื่อมสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสยาม กับ กลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน(ศปปส.) เมื่อวันที่ 10 ก.พ.67 ที่ผ่านมา เนื่องจากกลุ่มศปปส.ไม่พอใจที่กลุ่มทะลุวัง จัดกิจกรรมทำโพลเรื่องขบวนเสด็จ ซึ่งการปะทะกันครั้งนี้ คือ “สัญญาณ” ที่ทั้งกลุ่มทะลุวังเอง และ “ฝ่ายสนับสนุน”  ย่อมประเมินได้ว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะต้องเกิดขึ้นอีก  และจะขยายวงกว้างออกไป

แต่การปะทะกันด้วยกำลัง อาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของ “ท่าที” ที่แสดงออก จากฝั่งที่เทิดทูนสถาบัน และกำลังจับตาดูว่า “นักการเมือง” จาก “พรรคก้าวไกล” ที่เคยพากันออกมา เป็น “นายประกัน” นั้นจะกล้าเอาตัวเข้ามาเสี่ยงอีกหรือไม่ ในเมื่อพรรคก้าวไกลเองเพิ่งถูก “ศาลรัฐธรรมนูญ” มีคำวินิจฉัยว่าการรณรงค์ ให้แก้ไขมาตรา 112 ในการหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมานั้น เข้าข่าย “ล้มล้างการปกครอง” และหนึ่งในพฤติกรรมที่ศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ชัด คือการไปเป็นนายประกันให้กับแกนนำม็อบที่มีความผิดในมาตรา 112 อีกทั้งแกนนำเหล่านั้นอีกหลายก็ยังมาเป็นสส.ในพรรคก้าวไกล

ถึงกระนั้น จะให้พรรคก้าวไกล หรือ “พิธา” ทิ้งระยะห่างจาก กลุ่มทะลุวัง และม็อบสามนิ้ว สารพัดกลุ่มไปเสียทีเดียว ก็ย่อมกระทบต่อ “กระแส” ที่บรรดา “ด้อมส้ม” เคยมีให้ แต่จะให้ “ออกตัวแรง” เหมือนที่เคยผ่านมาก็ยังติดล็อก จนทำให้พรรคก้าวไกลถูกโจมตีจากฝ่ายเดียวกัน ในทำนองสู้ไม่สุด !       

การออกมาขยับแสดงพลังของ หน่วยราชการคือท่าทีที่ทุกฝ่ายกำลัง “เงี่ยหูฟัง”  ว่าแท้จริงแล้วมุ่งหวัง แสดงพลัง และ “ส่งสัญญาณ” ไปถึง “ใคร” หรือไม่ !?

การจัดกิจกรรมของ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ กรมสมเด็จพระเทพฯที่ผ่านมา คือท่าทีที่สำคัญ เพราะนอกจากเป็นการ “ถวายกำลังใจ” ให้กับ “ทูลกระหม่อมอาจารย์” แล้วพันตรีวิสิทธิ์ เสนารักษ์ ทหารประสานงานเส้นทางเสด็จถนนสายจงรักภักดี ระบุถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานว่า  “อะไรที่เกิดขึ้นในแผ่นดินนี้ที่เป็นความชั่วร้ายต่อไปจะขจัดออกไป”

การแสดงพลังของโรงเรียนนายร้อยจปร. อาจเป็นเสมือนภูเขาน้ำแข็งที่เห็นเพียงส่วนเดียวเท่านั้น แต่ในความเงียบของกองทัพ ย่อมไม่อาจคาดเดาได้ง่ายๆว่าจากนี้ไป จะไม่มี “การตอบโต้” ไปยัง “นักการเมือง” ที่เกี่ยวข้องอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวที่มุ่งล้มล้างสถาบัน โดยที่ตะวัน ทะลุวัง มีสถานะ เป็นแค่ “เบี้ย” เพื่อไปสู่จุดเริ่มที่มากกว่าเอาผิดด้วยกฎหมาย

อย่างไรก็ดี สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีแนวโน้มจะ “ลุกลาม” จากนี้ไป ทั้งจากฝ่ายล้มสถาบัน และฝ่ายรักสถาบันย่อมไม่ส่งผลดีต่อ รัฐบาล ที่มี “เศรษฐา ทวีสิน” นั่งเป็นผู้นำรัฐบาล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ในฐานะผู้มีอิทธิพล เหนือพรรคเพื่อไทย

แม้ทักษิณ จะได้มีโอกาส “กลับบ้านเกิด” ในรอบ 17 ปี และในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ เขาเองจะเดินเข้า “บ้านจันทร์ส่องหล้า”  เมื่อได้รับการพักโทษ โดยที่ผ่านมาอาจไม่เคยต้องเข้าเรือนจำสักวันเดียวก็ตาม แต่อย่าลืมว่า “ภารกิจ” ใน “ดีลลับ” นั่นคือการวางพรรคเพื่อไทย ให้ “รบ” กับพรรคก้าวไกล นั้นยังไม่บรรลุเป้าหมาย !

เงื่อนไขในดีลลับที่ทำให้เกิด สูตรพิสดาร ตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว ระหว่าง พรรคเพื่อไทย กับพรรค2ลุง และพรรคในปีก “ขั้วอนุรักษ์นิยม” คือการเอาชนะพรรคก้าวไกล ให้สำเร็จ แต่ปรากฏว่า  4 เดือนผ่านไป พรรคเพื่อไทย ยังไม่มี “ผลงาน” ใดๆให้เห็นรูปธรรม มิหนำซ้ำ “ดิจิทัลวอลเล็ต” ทำท่าว่า จะไปไม่รอด

ขณะที่การพักโทษของทักษิณ เตรียมตัวกลับบ้านจันทร์ส่องหล้า แม้กรมราชทัณฑ์และเจ้ากระทรวงยุติธรรม อย่าง “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” จะยืนยันว่า “เข้าเกณฑ์”  แต่ยังมีม็อบคปท.และแนวร่วม พากันเคลื่อนไหวแสดงความไม่พอใจโดยไม่มีท่าทีว่าจะเลิกรา

ดังนั้น เท่ากับว่า พรรคเพื่อไทย ยังทำภารกิจ ไม่บรรลุเป้าหมาย  ไม่สามารถ “คว่ำ” พรรคก้าวไกลลงได้ อย่าแท้จริง เพราะจนถึงวันนี้ “กระแส” แดงก็ยังแรงสู้ส้มไม่ได้  ส่วนทักษิณ เองเมื่อได้กลับบ้านเกิด มาอย่างเท่ๆ  แต่กลับทำให้ “ขั้วอำนาจเก่า” ถูกสังคมตั้งคำถามเสียเองว่า ปล่อยให้ทักษิณ อยู่ในสถานะนักโทษเทวดา มากว่า6เดือนได้อย่างไร

การออกมาแสดงพลังในครั้งนี้ จึงไม่สามารถมองได้เพียง “มิติเดียว” ในเมื่อตะวัน ทะลุวัง เป็นเพียงเบี้ยบนกระดาน ที่ฝ่ายล้มสถาบัน “ผลัก” ออกมาให้อยู่แถวหน้าเท่านั้น  แต่การตอบโต้ผ่าน “เบี้ย” เพื่อส่งสัญญาณ ไปยัง “ตัวการใหญ่” ที่อยู่เบื้องหลัง เป็นสำคัญ ส่วน ทักษิณ เองเมื่อภารกิจใหญ่ในดีลลับไม่ลุล่วง มิหนำซ้ำ ยังอาจกลายเป็น ปัญหาใหม่ในวันข้างหน้า

ด้วยเหตุนี้ “สัญญาณ” จากการแสดงพลัง จะไม่ใช่การ “เตือน”  แต่อาจเป็น “สัญญาณอันตราย” ที่จะนำไปสู่การกำหนดเกมชนิด “ล้มกระดาน” กันรอบใหม่ !