การประกาศกลางเวทีงานเลี้ยงพรรคร่วมรัฐบาล ของ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ถือเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนที่สุด และ เป็นการเฉลย “บิ๊กดีล” ระหว่าง ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับ แกนนำฝ่ายอนุรักษ์นิยมเดิมว่ามีจริง

“ดีใจที่ได้มาร่วมงานและดินเนอร์ ครั้งหน้าไม่ไกลเกินไป เราจะได้มีโอกาสทำความรู้จักกันมากขึ้น และทำงานด้วยกัน  รับใช้พี่น้องประชาชน และ “พระเจ้าอยู่หัว” ของเรา” น.ส.แพทองธาร ที่สวมเสื้อเหลืองร่วมงาน กล่าวทิ้งท้าย

แม้จะไม่ใช่ครั้งแรก ที่ น.ส.แพทองธาร  แสดงออกถึงความจงรักภักดี ท่ามกลางสังคม ที่แตกแยกทางความคิด และจุดยืนในเรื่องของสถาบันฯ ก็ตาม เพราะที่ผ่านมา ก็มีภาพ น.ส.แพทองธาร รับเสด็จฯ และเคยเข้าเฝ้าฯ พร้อมกับมารดา  และร่วมกิจกรรมเทิดพระเกียรติต่างๆเสมอมา

โดยเฉพาะช่วง วันเกิด ของ ทักษิณ 26 กค. 2566 น.ส.แพทองธาร ไม่ได้บินไปหาบิดา ไปร่วมอวยพรวันเกิด ในต่างประเทศ เช่นทุกปี และเป็นช่วงที่ ทักษิณ  เตรียมตัวกลับไทย

สิ้นเสียง คำกล่าวของ น.ส.แพทองธาร ภาพลักษณ์ของพรรคเพื่อไทย ได้ถูกคอนเฟิร์ม ให้เป็น พรรคอนุรักษ์นิยมใหม่  ที่จะมี น.ส.แพทองธาร ที่ ถูกวางตัวให้เป็นนายกรัฐมนตรีในอนาคตอันใกล้ และ ทักษิณ ผู้บิดา ที่จะกลายเป็น แม่ทัพ ในการนำสู้ศึกชิงอำนาจรัฐ กับพรรคก้าวไกลและกลุ่มแนวคิดปฏิรูปสถาบันฯ

ทุกองคาพยพของ  ขั้วอนุรักษ์นิยม จะต้องหันมา ซัปพอร์ต  รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และ นายกฯของพรรคเพื่อไทย ให้มีความได้เปรียบ ทางการเมือง เพื่อขัยชนะในการเลือกตั้ง

โดยเฉพาะกองทัพ ที่ต้องสนับสนุนรัฐบาล และ นายกรัฐมนตรี  จึงได้เห็นภาพและข่าว ความใกล้ชิดสนิทสนม ของเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กับผู้บัญชาการเหล่าทัพ  ทั้งการหารือนอกรอบ การประชุมวงเล็กหรือ แม้แต่ในวันหยุด  รวมถึงในสนามฟุตบอล เศรษฐา เองก็มักจะให้สัมภาษณ์ว่า ได้คุยกับ พล.อ.ทรงวิทย์  หนุนภักดี ผบ.ทหารสูงสุด และ “บิ๊กต่อ” พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผบ.ทบ. ในเรื่องต่างๆเสมอๆ รวมถึงการโพสต์ภาพ การหารือกับ ผบ.เหล่าทัพ เสมอๆ

ที่สำคัญคือ ผบ.เหล่าทัพก็ตอบสนอง นายกฯ เป็นอย่างดี สั่งอะไร ก็ทำให้หมด  ขออะไร ก็ยอมให้เกือบหมด โดยเฉพาะ กรณีที่ “บิ๊กไก่” พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผบ.ทอ. ยอมสละพื้นที่ทอ.ทำ 4โครงการ ตามที่ เศรษฐา ร้องขอ แต่ขอมีแผน ชัดเจน โดยตั้งคณะทำงานร่วม ขึ้นมาก่อน  ทั้งการให้ใช้พื้นที่ กองบิน 41 เชียงใหม่  สร้างถนนวงแหวน แก้ปัญหาการจราจรในเมืองเชียงใหม่ แต่ทางรัฐบาล ต้องสนับสนุนงบฯในการ ติดตั้งระบบรปภ.ใหม่  แยกพื้นที่ ความมั่นคง  และ เขตพระราชฐาน

ส่วนการที่ นายกฯ จะปรับสนามกอล์ฟธูปะเตมีย์ เป็นสปอร์ตคอมเพล็กซ์  ทอ. ก็พร้อมสนับสนุน หรือ แม้แต่ สนามกอล์ฟ สนามงู กลางสนามบินดอนเมือง นั้น  ทอ. แค่ต้องรอดูแผนว่า จะทำอะไร ส่วนไหน แต่ ทอ.ยังต้องเป็นเจ้าของอยู่ เพราะเป็นพื้นที่ความมั่นคง ส่วนการใช้สนามบิน กองบิน 1 โคราช จอด เครื่องบินพาณิชย์ นั้น สามารถทำได้ แต่ ต้องปลอดภัย ผ่านมาตรฐานICAO และการบินพลเรือน  เพราะเป็นสนามบินทหาร อีกทั้ง พื้นที่มีการฝึกตลอดทั้งปี และเป็นพื้นที่ปฏิบัติภารกิจป้องกันประเทศ  แต่ภาพรวมคือ ทอ. พร้อมเรื่องการโอนที่ดินของกองทัพอากาศให้เป็นที่สาธารณประโยชน์

การที่ เศรษฐา คุยตรงกับ ผบ.เหล่าทัพ เอง และคุมความมั่นคงเอง  จนถูกจับตามองว่า ในอนาคต  นายกฯจะควบ รมว. กลาโหม หรือไม่

ขณะเดียวกัน เศรษฐา ก็ต้องแสดงออก ถึงการปกป้องสถาบันฯ  เช่นเดียวกับกองทัพ  แม้ว่า นายกฯ รวมทั้ง ผบ.ตร. หรือ กองทัพ แอคชั่น  แสดงออก  ช้ากว่าที่สังคมคาดหวัง หลังเกิดเหตุ “กลุ่มทะลุวัง” ป่วนขบวนเสด็จ กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ก็ตาม

ด้วยเพราะ เกรงว่า จะเป็นการให้ค่า ให้ความสำคัญ กับ เยาวชนแค่คนเดียว และจะเป็นการขยายผล  ในมุมกลับ ให้ กลุ่มเคลื่อนไหว ที่หวังผลต่อสถาบันฯ  จึงทำให้ แสดงออกล่าช้า จึงมีแค่การ แชร์ลิ้งค์ เพลง “หยาดเหงื่อและรอยยิ้ม”  เป็นกำลังใจ ให้พระองค์ ก่อน เท่านั้น ในเบิ้องแรก

แม้แต่ รร.นายร้อย จปร.  ของกองทัพบก ที่เดิม ต้องการจะตบเท้า รวมตัว ถวายกำลังใจแด่ กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ  ซึ่งเป็น ทูลกระหม่อมอาจารย์  แต่ในที่สุด ก็ลดระดับ ให้ ซอล์ฟลง มาเป็นการถวายพระพร วันพระราชสมภพ 2 เม.ย. ล่วงหน้า  ทั้งๆที่ ปกติ รร.นายร้อยจปร.  และ นักเรียนนายร้อย จปร. จะถวายพระพร ในช่วงปลายเดือนมีนาคม  ในช่วง Goodbye Summer

อีกทั้ง ในช่วงนี้ นักเรียนนาบร้อย จปร. ชั้นปี 1-2 ไปฝึกร่วม พลเรือน ตำรวจ ทหาร ประจำปี  ส่วน ชั้นปี 3 ไปฝึก โดดร่ม ส่วน ชั้นปีที่4 ไปฝึกจู่โจม  จึงไม่ได้มาร่วมแสดงออก บรรดา นายทหารในกองทัพ ส่วนใหญ่ ก็เป็นลูกศิษย์ทูลกระหม่อมอาจารย์ แม้อยากจะแสดงออก ในโซเชี่ยลฯ ส่วนตัว แต่ก็ยังไม่มีการส่งสัญญาณ มา จึงยีงไม่แอคชั่น เพราะติดเรื่องระเบียบวินัย

อีกทั้ง ทางทบ. ไม่ต้องการจะเอา กองทัพบก ทั้งกองทัพไปชนกับ เด็กผู้หญิง ที่ก่อเหตุ  จึงให้มี ภาคประชาชน ทางจังหวัด ส่วนราชการ มาร่วมด้วย  และต้องการให้ ภาคประชาชน แสดงออก กันเอง  ส่วนเพจ ของกองทัพ หน่วยต่างๆ ก็กลายเป็นสีม่วง  ส่วนนายทหาร ก็โพสต์ภาพ สมัย เป็น นักเรียนนายร้อยจปร. กับ ทูลกระหม่อมอาจารย์ ในส่วนของกองทัพ ก็ต้องแอคชั่น แบบ ซอล์ฟๆ นุ่มๆ แทนการ ชนปะทะ 

จากนั้น ภาคประชาสังคม ก็มีการแสดงออกในโซเชียลฯ กันอย่างแพร่หลาย และตามมาด้วย การสวมเสื้อม่วง  ถวายกำลังใจนั่นเอง

โดยมี ฝ่ายการเมือง รับลูกต่อ  ทั้ง พรรครวมไทยสร้างชาติ และ บทบาทของ ชาดา ไทยเศรษฐ์  รมช.มหาดไทย  จากพรรคภูมิใจไทย ที้มีแอคชั่น ต่อเนื่อง ตั้งแต่ ที่ อุทัยธานี  และมาในสภา ทั้งหมดนี้ เป็นการสะท้อนถึง พลังของขั้วอนุรักษ์นิยม ผนวกกับ ฝ่ายการเมือง  ในการปกป้องสถาบันฯ และอาศัย กระแสสังคม ประชาชน รุกไล่ พรรคก้าวไกล และ มวลชนแนวร่วม ให้เห็นถึง พลังของความจงรักภักดี

โดย ฝ่ายทหาร และกองทัพ ขอเป็น แบ็กอัป เบื้องหลัง  และจะเป็นด่านสุดท้าย ในการปกป้องสถาบันฯ นั่นเอง