คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
การเมืองของสหรัฐอเมริกาในขณะนี้ นับว่ามีความสำคัญสุดๆ เนื่องจากการเลือกตั้งประธานาธิบดียังคงเหลือเวลาอีกแค่เพียง 9 เดือนเท่านั้น แต่กลับปรากฏว่ามีประเด็นร้อนๆเกิดขึ้นมาสองประเด็นใหญ่ๆด้วยกัน
โดยประเด็นแรกเกี่ยวกับบทบาทของศาลฎีกาสหรัฐฯที่จะทำการวินิจฉัยเกี่ยวกับคุณสมบัติของ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”ว่าสามารถจะมีหนทางเดินในเส้นทางการเมืองได้อีกต่อไปหรือไม่นั่นเอง!!!
โดยเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2024 ซึ่งถือเป็นวันประวัติศาสตร์ของแวดวงการเมืองของสหรัฐฯที่ผู้พิพากษาศาลฎีกา 9 ท่าน นั่งรับฟังข้อโต้แย้งคำอุทธรณ์ของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เกี่ยวกับศาลฎีกาของรัฐโคโลราโด ที่พิจารณาคดีด้วยมติ 4 ต่อ 3 ว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ไม่มีสิทธิ์ลงแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีได้อีกต่อไป สืบเนื่องมาจากกรณีการก่อจลาจลเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 โดยเจาะจงว่า เขาเป็นผู้ยุยงให้ฝูงชนบุกเข้าสู่อาคารรัฐสภาในขณะที่สมาชิกรัฐสภากำลังดำเนินการรับรอง “โจ ไบเดน” ให้เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯคนต่อไป
ทั้งนี้ศาลฎีกาของรัฐโคโลราโด ลงมติ 4 ต่อ 3 ว่า พฤติกรรมของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์เข้าข่ายก่อการกบฏ ตามรัฐธรรมนูญที่มีการแก้ไขเมื่อปีค.ศ. 1868
และถึงแม้ว่าผมจะมีโอกาสได้อ่านทรานสคริปต์การโต้แย้งของทั้งสองฝ่ายอย่างละเอียดแล้วก็ตาม และถึงแม้ว่าศาลฎีกายังมิได้ลงมติตอนนี้ แต่อาจจะมีขึ้นในอีกสามหรือสี่เดือนข้างหน้า ก็ยังเป็นที่น่าสังเกตว่ามีผู้พิพากษาศาลฎีกาถึง 6 ท่าน ที่สังกัดค่ายพรรครีพับลิกันมีความเอนเอียงแสดงท่าทีโอบอุ้มอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างออกนอกหน้า
โดยศาลฎีกาสหรัฐฯแสดงความคิดเห็นที่มองๆไปแล้วเป็นผลดีต่ออดีตประธานาธิบดีทรัมป์มิใช่น้อยว่า “รัฐโคโลราโดเป็นเพียงรัฐเล็กๆ ไม่ควรจะมีบทบาทในการกำหนดชะตากรรมของประเทศ เพราะหากศาลฎีกาสหรัฐฯ เห็นด้วยต่อมติของศาลฎีกาแห่งรัฐโคโลราโดแล้ว ก็ย่อมส่งผลกระทบตามมาต่อการแข่งขันเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีในทุกๆรัฐอีกด้วย!!!
การโต้แย้งเกี่ยวกับเกี่ยวกับคุณสมบัติของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในครั้งนี้ใช้เวลานานกว่าสองชั่วโมง และนับได้ว่าเป็นการสร้างภาพลักษณ์ด้านลบต่อศาล ซึ่งเป็นกระบวนการแห่งความยุติธรรมของคนอเมริกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย
หนำซ้ำศาลฎีกาสหรัฐฯที่ถูกครอบงำด้วยผู้พิพากษาค่ายอนุรักษ์นิยมทั้ง 6 ท่าน ที่สังกัดค่ายพรรครีพับลิกันกลับหลีกเลี่ยงไม่ยอมหยิบยกปัญหาการจลาจล ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021มาพิจารณาแต่อย่างใด ทั้งๆที่เป็นหัวใจด้านความมั่นคงของประเทศแถมยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบอบประชาธิปไตยด้วยเช่นกัน และยังได้เห็นถึงความคิดเห็นของผู้พิพากษาศาลสูงสุดที่มีความขัดแย้งแตกแยกกันอย่างสิ้นเชิง
ก่อนการรับฟังคำพิจารณาของศาลฎีกาสามวัน ซีเอ็นเอ็นได้สำรวจผลหยั่งเสียงของชาวอเมริกันโดยพบว่า ชาวอเมริกันถึง 45% เล็งเห็นว่า การก่อจลาจลเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 อดีตประธานาธิบดีทรัมป์กระทำผิดและเป็นกบฏต่อระบอบรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ในวรรค 3 ที่แก้ไขเพิ่มเติมที่เรียกกันว่า “14th Amendment” ของปี 1868
และผลการหยั่งเสียงของซีเอ็นเอ็นก็ยังเปิดเผยต่ออีกว่า 32% ของชาวอเมริกันเล็งเห็นว่าพฤติกรรมของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ขาดจรรยาบรรณ ส่วน 23% ของชาวอเมริกันกลับคิดว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์มิได้กระทำความผิดแต่อย่างใดเลย
ภายหลังเสร็จสิ้นการรับฟังของผู้พิพากษาศาลฎีกา โพลของ “มหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์” ได้ออกทำการสำรวจและพบว่า ชาวอเมริกัน 58% มีความคิดเห็นว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์มีความผิดที่ไม่ยอมส่งต่อตำแหน่งประธานาธิบดีให้แก่โจ ไบเดน อย่างสันติ
อีกทั้งสำนักโพลแห่งนี้ยังกล่าวต่อไปอีกว่า ภรรยาของ “ผู้พิพากษาแคลแรน โธมัส” ส่งจดหมายไปยังนักการเมืองหลายๆรัฐให้ออกมาสนับสนุนการล้มการเลือกตั้งในครั้งนั้นอีกด้วย
นอกจากนั้นแล้วชาวอเมริกันถึง 64% ยังมีความเห็นว่า ผู้พิพากษาแคลแรน โธมัส สมควรจะถอนตัวออกจากการมีส่วนเข้ารับฟังการโต้แย้งคดีดังกล่าว แม้กระทั่งผู้สังกัดค่ายพรรครีพับลิกัน 32% ก็เห็นด้วยในเรื่องนี้
ส่วนประเด็นที่สองเกี่ยวกับอายุของประธานาธิบดีโจ ไบเดน และอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
โดยขณะนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีอายุ 81 ปีและหากเขาได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกเขาก็จะมีอายุ 82 ปี และหากได้รับเลือกก็จะต้องอยู่ในตำแหน่งอีกสี่ปี ซึ่งเขาจะพ้นตำแหน่งในปี 2028 และจะมีอายุปาเข้าไป 86 ปีเลยทีเดียว
ส่วนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ขณะนี้มีอายุ 77 ปี และหากเขาได้รับเลือกก็จะมีอายุ 78 ปี และจะพ้นตำแหน่งตอนอายุ 82 ปี และจากผลการหยั่งเสียงของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส เมื่อวันที่ 10 มกราคมนี้ เปิดเผยออกมาว่า ชาวอเมริกันถึง 70% ต่างกังวลว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน แก่เกินไปที่จะบริหารประเทศในสมัยที่สอง
และครึ่งหนึ่งของชาวอเมริกันก็มีความคิดเห็นต่ออดีตประธานาธิบดีทรัมป์คล้ายคลึงกันกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ว่าแก่เกินจะรับตำแหน่งด้วยเช่นกัน!!!
อนึ่งหากเปรียบเทียบภาพลักษณ์หน้าตาระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดน และ อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ จะเห็นได้ค่อนข้างเด่นชัดว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ดูกระฉับกระเฉงมากกว่า แถมอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ยังเน้นเรื่องความหล่อเหลาย้อมผมใส่วิกเสริมความหล่อ
ขณะนี้ดูเหมือนว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะมีน้ำเสียงพูดที่ค่อนข้างแผ่วเบาลง เวลาเดินเหินก็ไม่กระฉับกระเฉงเท่าที่ควร ส่วนภาพลักษณ์ของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ในสายตาของชาวอเมริกันนั้น ดูเหมือนว่ามิมีภาพลักษณ์ด้านลบมากเหมือนดั่งประธานาธิบดีโจ ไบเดน เนื่องจากอดีตประธานาธิบดีทรัมป์วางตนในที่สาธารณะเข้าลักษณะเป็นคนที่กล้าบ้าบิ่น และเขาก็มีพรสวรรค์พิเศษด้านการกล่าวสุนทรพจน์ที่สามารถกลบเกลื่อนจุดอ่อนของเขาได้เป็นอย่างดี
แต่ก็ยังมีสิ่งที่มีส่วนคล้ายๆกันนั่นก็คือ เวลาที่ทั้งสองถูกสัมภาษณ์ทั้งสองคนต่างก็มีความจำที่ค่อนข้างเลอะเลือนอยู่เป็นประจำ ยกตัวอย่างอาทิเช่น ประธานาธิบดีทรัมป์ให้สัมภาษณ์ว่า เขาได้รับชัยชนะเหนือ “ประธานาธิบดีบารัก โอบามา” แทนที่จะพูดว่า เขาได้รับชัยชนะเหนือ “ฮิลลารี คลินตัน” ที่ผ่านๆมาอดีตประธานาธิบดีทรัมป์มักจะวางท่าทีของตนเองเป็นนักแสดงในวงการบันเทิง และมักจะไม่พูดตามบทสคริปต์ จึงมีผลทำให้เขาพูดผิดพลาดบ่อยๆครั้ง แต่ในทางกลับกันประธานาธิบดีโจ ไบเดน วางตนเป็นรัฐบุรุษที่มีความเชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นภาพพจน์ด้านบวก เพราะเขาพูดจากประสบการณ์ที่มีติดต่อกันมานานกว่าห้าสิบปี
ส่วนอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นั้นมักจะพูดด้านการต่างประเทศแบบพลั้งปากขาดความยั้งคิด โดยล่าสุดนี้เขาออกมาพูดว่า ในอีกเก้าเดือนข้างหน้าหากเขาได้รับชัยชนะและได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งหนึ่ง เขาจะปล่อยให้รัสเซียทำอะไรได้ตามใจชอบ สืบเนื่องมาจากสมาชิกนาโต มิได้จ่ายงบประมาณด้านทหารมากเท่าที่ควร มีผลทำให้กลายเป็นข่าวใหญ่น่าตกใจที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ต้องตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์จากบรรดาสื่อทั่วทุกมุมโลกอย่างหนัก ที่อาจจะทำให้สถานะของสหรัฐฯกลายเป็นประเทศที่อ่อนแอ แถมอาจจะไม่ได้รับการยอมรับว่า สหรัฐฯคือประเทศผู้นำของโลกอีกต่อไป
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นดูเหมือนศาลฎีกาสหรัฐฯมิได้คำนึงและเห็นความสำคัญในมติของรัฐเล็กๆอย่างเช่นรัฐโคโลราโดเลยแม้แต่น้อย แถมยังแสดงท่าทีสวนทางกับกระแสของชาวอเมริกัน นับเป็นสัญญาณสื่อให้เห็นถึงอันตรายและส่งภาพพจน์ด้านลบที่ช่างไม่สมกับการเป็นประเทศมหาอำนาจและเป็นประเทศแม่แบบของระบอบประชาธิปไตย นอกจากนั้นแล้วโอกาสที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์จะหวนกลับมาอีกครั้งหนึ่งก็ย่อมเกิดขึ้นได้ทั้งนี้เมื่อไม่กี่วันมานี้เขาใช้วาทะสะเทือนโลกที่สหรัฐฯที่จะไม่ป้องกันพันธมิตรนาโตที่จ่ายงบประมาณด้านทหารน้อยและเขายินดีปล่อยให้รัสเซียรุกรานพันธมิตรได้ตามใจชอบนับว่าเป็นการส่งสัญญานอันตรายต่อสหรัฐฯและอาจจะทำให้สหรัฐฯลดบทบาทในเวลาทีโลกอีกด้วยละครับ