เมื่อวันที่ 15 ก.พ. 67 ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังนำข้าราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ขอพระราชทานน้อมแสดงความจงรักภักดีแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ว่า การทำเช่นนี้ไม่ได้แปลว่าดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่การที่พวกเราทุกคนล้วนเป็นพสกนิกรชาวไทยภายใต้พระบรมโพธิสมภารแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ทั้งนั้น แต่ละคนพึงกระทำหน้าที่ของแต่ละคนพึงกระทำหน้าที่ตามอำนาจที่ตัวเองมีอยู่ในมือ เช่น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้เสนอญัตติด่วนในสภา ก็เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ของตนเอง เป็นการแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดี และความรักในสถาบัน และที่สำคัญที่สุดเราจะไม่ยอมให้ใครมาลบหลู่ดูหมิ่นในสถาบันอันเป็นที่รักของเราเด็ดขาด พวกเราทุกคนทำหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดี และความรักที่เรามีในสถาบัน 

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีมีการเสนอให้นิรโทษฏรรม ม.112 นายวราวุธ กล่าวว่า วันนี้คนทั่งประเทศได้แสดงพลังให้เห็นแล้วว่าพวกเราจะไม่ยอมเด็ดขาดที่จะให้ใครมาลบหลู่ดูหมิ่น ไม่ว่าจะเป็นใคร เพศใด อายุเท่าไหร่ คนชาติไหน ถ้าจะมาดูหมิ่นหรือปองร้ายหรือทำอะไรที่เป็นที่เสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของพวกเรา เราไม่ยอมเด็ดขาด ไม่ได้เป็นการท้าทาย ไม่ได้เป็นการสู้รบตบมือ แต่เป็นการปกป้องสถาบันที่เรามี

นายวราวุธ กล่าวว่า ประเทศไทยของเราการที่จะเดินไปข้างหน้าได้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยวิสัย  พลังของคนรุ่น แต่ต้องไม่ลืมว่าการที่ประเทศเราเดินหน้ามาถึงวันนี้ได้เป็นเพราะคนรุ่นก่อนๆ บรรพบุรุษของพวกเรา และที่สำคัญที่สุดภายใต้พระบรมโพธิสมภารแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ สถาบันพระมหากษัตริย์ได้สร้างคุณูปการให้กับแผ่นดินไทย มาตั้งแต่เป็นสยามประเทศจนถึงวันนี้ ตนเชื่อว่าหากไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ประเทศไทยจะไม่เป็นเช่นนี้เด็ดขาด ดังนั้น การที่จะจะเดินไปข้างหน้าแน่นอนว่าเราต้องใช้พลังของคนรุ่นใหม่ แต่ขอให้พึงตระหนักว่าเรามาถึงตรงนี้ได้อย่างไร เพราะถ้าไม่ดี ไม่สมบูรณ์ เป็นอย่างที่คนกลุ่มหนึ่งคิด ประเทศไทยไม่เป็นอย่างนี้แน่นอน สิ่งที่อยู่กับแผ่นดินไทยมาช้านาน คือ สถาบันพระมหากษัตริย์ที่พวกเราจะหวงแหน และรักษายิ่งเท่าชีวิต