“ตำรวจ”หิ้วตัว “ตะวัน-แฟรงค์-สายน้ำ” ฝากขัง พร้อมคัดค้านประกันตัว ด้าน“สายน้ำ”ไม่สลด! ชู 3 นิ้ว จี้ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม “ทนาย”ลุยคัดค้านฝากขังทันที ขณะที่ “อัครเดช” โวยตำรวจทำงานล่าช้า ย้ำจับ“ทะลุวัง” ต้องรวดเร็ว หวั่นเหตุปะทะลุกลาม  “รทสช.”หวั่นน้ำผึ้งหยดเดียวทำชาติแตกแยก ชง 3 มาตรการทบทวนการถวายความปลอดภัย บี้บังคับใช้ กม.พวกป่วนขบวนเสด็จฯ

จากกรณีที่ น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือตะวัน และนายณัฐนนท์ ไพโรจน์ ที่มีพฤติกรรมขับรถยนต์ยี่ห้อเอ็มจี สีขาว หมายเลขทะเบียน 8 กจ 1711 กรุงเทพมหานคร บีบแตรรถยนต์ลากยาว ระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ถวายความปลอดภัย สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีและพยายามขับรถแซง ขบวน ขณะเสด็จฯ ผ่านทางร่วมต่างระดับมักกะสัน เมื่อวันที่ 7 ก.พ. ที่ผ่านมา ล่าสุดถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัว พร้อมแจ้ง3  ข้อหาหนัก 
ล่าสุด ที่ศาลอาญา เมื่อวันที่ 14 ก.พ.67 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวน.ส.ทานตะวัน จากสน.ฉลองกรุง มาขออำนาจศาลฝากขังผลัดแรกเป็นเวลา 12 วัน ใน 3 ข้อหา คือความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116  ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และร่วมกันก่อความรำคาญในที่สาธารณะ ส่วน นายณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร หรือแฟรงค์ คนขับรถยนต์ถูกดำเนินคดี 5 ข้อหา ได้แก่ ใน 3 ข้อหาได้แก่ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และร่วมกันก่อความรำคาญในที่สาธารณะดูหมิ่นเจ้าพนักงานและบีบแตรรถยนต์โดยไม่มีเหตุอันควรตาม พ.ร.บ.จราจร 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ควบคุมตัว นายนภสินธุ์ ตรีรยาภิวัฒน์ หรือ สายน้ำ  ผู้ต้องหาในคดีพ่นสีกำแพงพระบรมมหาราชวัง มายังศาลอาญา เพื่อยื่นคำร้องฝากขังต่อศาล โดยมี น.ส.หยก เยาวชนอายุ 15 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มแนวร่วมนักกิจกรรมทางการเมือง พร้อมพวกอีกส่วนหนึ่ง ได้เดินทางมาสมทบที่ศาลอาญา เพื่อฟังการไต่สวนฝากขังของผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย 


ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ขณะที่รถควบคุมผู้ต้องหาได้ขับมาถึงศาลอาญา มีมวลชนบางส่วนมายืนรอคอยให้กำลังใจ และตะโกนชื่อ “สายน้ำ” โดยสายน้ำได้ชู 3 นิ้ว พร้อมตะโกนว่า "ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม  ยกเลิก 112" จากนั้นจึงนำตัวไปห้องพิจารณาฝากขัง


ขณะเดียวกัน นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้ยื่นคำร้องคัดค้านการฝากขัง น.ส.ตะวัน ,นายณัฐนนท์ และนายนภสินธุ์ ทันที
ที่รัฐสภา นายอัครเดช วงศ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่เมื่อวันที่ 13 ก.พ. มีการจับกุมกลุ่มทะลุวัง ว่า เมื่อวานนี้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค ได้กล่าวในประชุมว่าเหตุการณ์ก่อกวนขบวนเสด็จไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก แต่เกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายความมั่นคง ก็มีการดำเนินการที่ล่าช้า ก็อาจจะทำให้มีปัญหาลุกลาม และมีการปะทะกันกับคนเห็นต่าง 


ผู้สื่อข่าวถามว่า กังวลหรือไม่ว่าเหตุการณ์จะบานปลาย หากเจ้าหน้าที่ดำเนินการจับกุมล่าช้า นายอัครเดช กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจคงต้องพิจารณาทบทวนในการดำเนินการในกรณีแบบนี้ ไม่ให้เกิดขึ้นอีก ตนคิดว่าหากเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการอย่างรวดเร็ว ปัญหาจะไม่บานปลายเพราะการบังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา โดยยึดหลักนิติรัฐ ตนคิดว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องดำเนินการ ต้องดำเนินการโดยไม่เกรงใจใคร หากทำแบบนี้ทุกฝ่ายจะต้องยอมรับและความสงบจะเกิดขึ้น  
“พี่น้องประชาชนมีดุลพินิจดูว่ากระบวนการดังกล่าวมีที่มาที่ไปอย่างไร แล้วทำให้ผู้ก่อเหตุกลุ่มนี้มีการกระทำผิดซ้ำซาก และมีหลายครั้งทั้งมาตรา 112 ก็ดี มาตรา 116 ก็ดี หรือกฎหมายฉบับอื่น ตนคิดว่าประชาชนใช้ดุลยพินิจได้”


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส.ส.รวมไทยสร้างชาติ นำโดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรค พร้อมใจกันเปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์ในสื่อโซเชียลเป็นสีม่วงเพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 07.30 น.ที่บริเวณลานสุพรรณิการ์ หน้าศาลากลางจังหวัดอุทัยธานี ได้มีประชาชนพร้อมใจกันแต่งกายด้วยเสื้อสีม่วงและสีเหลือง ร่วมใจแสดงพลังให้เป็นที่ประจักษ์ทั้งแผ่นดินว่า “จ.อุทัยธานีคือ บ้านของพระองค์” สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยกลุ่มประชาชนจำนวนมากในพื้นที่ จ.อุทัยธานี 


โดยได้มีการร่วมกันเคารพธงชาติ ปราศรัย โดยมีผู้นำชุมชน เปิดเพลงของคุณพลอยไพลิน เจนเซ่น ประพันธ์ถวายฯ จากนั้นเวลา 08.30 น. ได้เดินเท้าไปหน้าบ้าน 905 ตั้งแถวร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี โดยมี นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย ร่วมกิจกรรม 


ขณะเดียวกันในวันที่ 15 ก.พ. คาดว่าจะมีประชาชนเดินทางมาร่วมกิจกรรมดังกล่าวกันเป็นจำนวนมาก โดยนัดพร้อมกันสวมใส่เสื้อสีม่วงกันทั่วประเทศ
วันเดียวกัน ที่รัฐสภา  ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่1 ทำหน้าที่ประธานการประชุมพิจารณาญัตติด่วนด้วยวาจา เพื่อให้รัฐบาลเร่งดำเนินการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมาย ทบทวนระเบียบแผน และมาตรการ การถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จให้เหมาะสม ทันสมัย มีการฝึกซ้อม และประชาสัมพันธ์สื่อสารกับประชาชนเป็นการถวายความปลอดภัยให้สมกับเกียรติยศ เพื่อรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักชาติ เสนอโดยนายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ


โดย นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ  ชี้แจงว่า เหตุผลที่ตนได้เสนอญัตตินี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา มีการไปรบกวน ก่อกวนขบวนเสด็จฯซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจให้ประชาชนคนไทย ตนเห็นว่ากรณีนี้หากไม่มีการบริหารจัดการอย่างเร่งด่วน จะทำให้สถานการณ์บานปลาย กระทบต่อความสงบเรียบร้อยศีลธรรมอันดี โดยเฉพาะความมั่นคงของประเทศ เหตุการณ์ดังกล่าวตนเห็นคลิปจากสื่อมวลชน ทำให้รู้สึกตกใจ เนื่องจากชัดเจนว่าขบวนเสด็จฯที่กำลังใช้ช่องทางสัญจรเป็นขบวนที่สั้นมาก การถวายความปลอดภัยในวันนั้นดำเนินการด้วยความระมัดระวังไม่ให้กระทบประชาชน นอกจากนี้ยังไม่ปรากฎว่ามีการปิดถนนเส้นนั้นเลย แต่รถผู้ก่อนเหตุวิ่งมาด้วยความเร็ว เจตนาชัดเจนว่าพยายามขับรถไล่ขบวนเสด็จฯ จากนั้นได้ปรากฎอีกคลิปที่ทำให้เห็นเจตนาของผู้ก่อเหตุคืออะไร
“ในขณะที่ผมรู้สึกโกรธจนเกือบถึงขีดสุดจนกระทั่งจะเกิดเป็นความรังเกียจกับพฤติกรรมที่เกิดขึ้น มีประโยคหนึ่งที่แว่วเข้ามาบันดาลใจให้ผมดึงสติลดความโทสะลง คือพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ท่านได้ทรงตรัสไว้ว่า Thailand is the land of compromise ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งความประนีประนอม หลังจากเกิดกรณีไปรบกวนขบวนเสด็จฯเมื่อช่วงปลายปี 2563” นายเอกนัฏ กล่าว


นายเอกนัฏ ชี้แจงต่อว่า ตนเฝ้ารออยู่ว่าเมื่อเหตุเกิดขึ้นในวันที่ 4 ก.พ. ในที่สุดแล้วเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะออกมาอย่างไรบ้าง จะบังคับใช้กฎหมายอย่างไร แต่ตนรอหลังเหตุการณ์ผ่านไปเกือบ 1 สัปดาห์ ต้องบอกว่าการแสดงท่าทีไม่ชัดเจน จนกระทั่งวันที่ 10 ก.พ.ผู้ก่อเหตุเหิมเกริมไปทำโพลที่สถานีรถไฟฟ้าสยาม จนกระทั่งมีการกระทบกระทั่งกับอีกฝ่ายที่ไม่พอใจ ยืนยันว่าตนไม่อยากซ้ำเติมความร้าวฉานที่เกิดขึ้นต่อทั้ง 2 ฝั่ง แต่ไม่อยากให้เกิดเหตุแบบนี้อีก หากเราไม่รีบบริหารจัดการสถานการณ์จะบานปลายไปสู่ความแตกแยกประทุไปสู่ระดับประเทศ จึงขอส่งสัญญาณ และเสนอไปยังรัฐบาล รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งรัดดำเนินการยับยั้งไม่ให้สถานการณ์บานปลาย ดังนี้ 1.ขอให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการบังคับใช้กฎหมายทันที ไม่ใช่เป็นการล่าแม่มด หรือต้องการประหัตถ์ประหารใช้ศาลเตี้ยวินิจฉัย แต่เพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง การใช้สิทธิเสรีภาพมีกรอบชัดเจนต้องไม่ไปละเมิดสิทธิคนอื่นและไม่ทำผิดกฎหมาย


นายเอกนัฏ กล่าวว่า 2.ขอให้มีการทบทวนปรับปรุงระเบียบและแผนมาตรการถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2548 เนื่องจากบริบท และภัยคุกคามเปลี่ยนไป ให้มีความเข้มงวด กระชับ ชัดเจน มีเจ้าภาพ เหมาะสมทันสมัย มีการซ้อมแผนเผชิญเหตุ มีขอบเขตพื้นที่แบ่งความรับผิดชอบให้ชัดเจนมากขึ้น เพื่อป้องกันการกระทำผิดซ้ำจนกลายเป็นแฟชั่น หรือค่านิยมใหม่ที่เกิดขึ้น เข้าใจว่าเจ้าหน้าที่อาจกังวลว่าจะมีความเชื่อมโยงไปสู่ความยัดแย้งทางการเมือง หากปฏิบัติเข้มงวดไปจะมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์หรือไม่ แต่ตนยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะตำรวจไม่ใช่เซลล์ที่ต้องมาคำนึงถึงความพึงพอใจของลูกค้า ผู้ก่อเหตุกระทำการอย่างเหิมเกริมท้าทาย แต่เจ้าหน้าที่ดำเนินการล่าช้าไป ดังนั้นเมื่อพ.ร.บ.ถวายความปลอดภัย พ.ศ.2560 อัพเดตแล้วระเบียบและมาตการดังกล่าวต้องอัพเดตด้วย ภารกิจถวายความปลอดภัยถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ต้องดำเนินการแบบไร้รอยต่อ


“สุดท้ายข้อเสนอที่ 3.ที่สำคัญที่สุด คือต้องประชาสัมพันธ์สื่อสารกับประชาชน ว่าสามารถทำอะไรบ้าง อาจมีผลกระทบอย่างไรบ้าง และที่สำคัญที่สุดประชาชนจะต้องทำตัวอย่างไร เพราะต้องยอมรับว่า ภารกิจการถวายความปลอดภัยไม่มีที่ไหนในโลกที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ประชาชน แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณพระเมตตา พยายามให้การปฏิบัติพระราชกรณียกิจ หรือเส้นทางการสัญจรรบกวนประชาชนให้น้อยที่สุด ผมเชื่อว่ามีประชาชนหลายคนต้องการให้ความร่วมมือ และช่วยเป็นหูเป็นตาไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก เพราะหากปล่อยปละละเลยไม่เข้มงวดเหตุการณ์แบบนี้อาจจะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวนำไปสู่ความวุ่นวายการปะทะให้หมู่ประชาชนจนแตกแยก ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เราอยากเห็นบ้านเมืองสงบสุข ไม่อยากเห็นค่านิยมเป็นแฟชั่นไปบั่นทอนสถาบันหลักของประเทศ จึงขอให้มีการทบทวนมาตรการต่างๆ เพื่อถวายความปลอดภัยให้สมพระเกียรติ เพื่อรักษาไว้ซึ่งสถาบันเสาหลักของชาติ”