"จุรินทร์"เผยเหตุป่วนขบวนเสด็จฯ ตอกย้ำต้องไม่นิรโทษกรรมรวมความผิดม.112  "รทสช.จวก"พิธา" หยุดใช้วาทกรรมคนรุ่นใหม่ ชี้ "ตะวัน" ก่อกวนขบวนเสด็จผิดกฎหมาย ย่ำยีหัวใจคนไทย เล็งชงเรื่องทบทวนมาตรการอารักขาถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จฯ ด้าน "ชัยธวัช"บอกความเห็นที่แตกต่าง ต้องไม่ถูกจัดการด้วยการใช้กำลัง ขณะที่พนักงานสอบสวนจ่อถอนประกัน "ตะวัน"  ฐานผิดเงื่อนไขศาล ปมซิ่งรถพยายามแซงขบวนเสด็จฯ
 
     เมื่อวันที่ 11 ก.พ.67 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม คณะกรรมาธิการฯ (กมธ.) กำลังพิจารณาอยู่ขอต้องทำด้วยความรอบคอบ  โดยการนิรโทษกรรมสามารถทำได้ แม้แต่ในอดีตก็เคยมีการนิรโทษกรรมเกิดขึ้น แต่ประเด็นสำคัญก็คือถ้าจะมีการนิรโทษกรรมในอนาคต ควรจะครอบคลุมความผิดในลักษณะใดบ้าง คือหัวใจสำคัญ ซึ่งการนิรโทษกรรมต้องไม่รวมคดีทุจริตคอรัปชั่น และม.112 รวมทั้งคดีอาญาร้ายแรง เพราะอนาคตจะทำให้คนไม่เกรงกลัวกฎหมาย และกลายเป็นการส่งเสริมการกระทำผิดในลักษณะดังกล่าว และจะนำไปสู่การขยายความขัดแย้งแตกแยกมากกว่าการสร้างความปรองดอง
    
"เมื่อเกิดกรณีการป่วนขบวนเสด็จ ยิ่งเป็นการตอกย้ำการไม่สมควรนิรโทษกรรมความผิดตามมาตรา 112 ซึ่งขอเสนอให้กรรมาธิการของสภารับไปพิจารณาด้วย" นายจุรินทร์ กล่าว
    
 นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรีในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงกรณีที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการที่ น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือตะวัน ก่อเหตุก่อกวนขบวนเสด็จ  ว่า ตนได้ฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจที่นายพิธาพยายามใช้วาทกรรมคนรุ่นใหม่มาแบ่งแยกคนในสังคม  เพราะกรณีนี้เป็นเรื่องของคนที่ทำผิดกฎหมาย และเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นสิ่งที่นายพิธาควรจะออกมาแสดงความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นอดีตนายประกันให้กับน.ส.ทานตะวัน และเคยอภิปรายสนับสนุน น.ส.ทานตะวันในสภา ควรจะออกมาแสดงความรับผิดชอบมากกว่านี้กับการกระทำดังกล่าวที่เป็นการกระทำที่ย่ำยีหัวใจคนไทยเป็นจำนวนมาก
    
   ผมจึงอยากบอกกับนายพิธาว่าขอให้เลิกใช้วาทกรรมคนรุ่นใหม่กับคนทุกรุ่นได้แล้ว เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ หรือคนรุ่นไหน แต่มันเป็นเรื่องของคนที่ทำผิดกฎหมายและเป็นเรื่องของคนที่ไม่รู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ อย่าใช้วาทกรรมมาปลุกระดมคนรุ่นใหม่ เพราะคนรุ่นใหม่อีกจำนวนมากก็ไม่ได้เห็นด้วย และรังเกียจกับการกระทำของ น.ส.ทานตะวัน กับพวกในครั้งนี้ 
    
 นายอัครเดช ยังกล่าวอีกว่า จากกรณีนี้มีแกนนำและส.ส.ของพรรคก้าวไกลออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมดังกล่าว แทนที่นายพิธาจะออกมาประณามการกระทำดังกล่าว กลับออกมาพูดคล้ายแบ่งแยกคนในสังคม ที่จะสร้างความแตกแยกให้กับคนในสังคมอีกหรือไม่ จึงขอให้นายพิธาได้กลับไปทบทวนสิ่งที่ตัวเองได้กระทำทั้งการเคยไปประกันตัวนางสาวทานตะวันและการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ออกมา ว่ามันเป็นการย่ำยีหัวใจคนไทยที่รักและเทิดทูนสถาบันเป็นจำนวนมากหรือไม่
   
  นายธนกร วังบุญคงชนะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างกลุ่มทะลุวังกับกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) บริเวณทางเชื่อมสถานีรถไฟฟ้าสยาม ว่า ตนเข้าใจถึงความไม่พอใจของกลุ่มศปปส.ที่ไม่เห็นด้วยกับการขับรถบีบแตรรบกวนขบวนเสด็จฯ และกิจกรรมทำโพลในเรื่องดังกล่าว โดยเชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศ รวมถึงตนเองนั้น ก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน แต่การใช้ความรุนแรง ทำร้ายร่างกายถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย และไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดี จึงขอให้ทุกฝ่ายหยุดสร้างความขัดแย้ง และไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา คนไทยด้วยกันต้องรักกันสามัคคีกัน ส่วนกลุ่มทะลุวังออกมาเคลื่อนไหวดังกล่าว ทุกคนต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ได้กระทำ ตามกระบวนการกฎหมายซึ่งคดีความอยู่ในชั้นศาลหลายคดีอยู่แล้ว
     
เมื่อถามว่า แต่ดูเหมือนนายพิธาและนายชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ไม่ได้ออกมาตักเตือนกลุ่มทะลุวัง แต่ยังมองว่าควรเปิดพื้นที่ให้เยาวชนแสดงความเห็นและโยงไปถึงการเสนอนิรโทษกรรมคดีด้วยนั้น นายธนกร กล่าวว่า แม้ว่านายพิธาจะเคยเป็นนายประกันให้น.ส.ทานตะวันในคดีทำผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และปัจจุบันจะถอนจากการเป็นนายประกันก็ตาม ทั้งนายพิธาและนายชัยธวัชควรตักเตือนกลุ่มดังกล่าวให้หยุดก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างความเข้าใจใหม่ ให้มีการแสดงออกทางการเมืองอย่างสร้างสรรค์และถูกต้องตามกฎหมายจะดีกว่า
    
   การที่นายชัยธวัชและนายพิธา ไม่ได้ตักเตือนกลุ่มเยาวชนที่ออกมาเคลื่อนไหวในทางที่ผิดและยังมองว่าเป็นความคิดเห็นที่แตกต่างควรเปิดพื้นที่ให้แสดงออกนั้น น่าจะมาจากความเข้าใจที่ผิดตั้งแต่ต้น เพราะสถาบันฯไม่ใช่คู่ขัดแย้ง และไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ที่สำคัญเป็นการทำผิดคดีอาญาที่ร้ายแรง ไม่ควรเหมารวม ว่าเป็นคดีทางการเมืองที่จะเสนอสภาให้มีการนิรโทษกรรมได้ ขอให้พรรคก้าวไกล ทบทวนเรื่องนี้โดยด่วน ควรกลับไปพูดคุยกับเครือข่ายให้หยุดก้าวล่วงสถาบัน และหันมาช่วยกันพัฒนาประเทศในด้านที่เป็นประโยชน์จะดีกว่า เพราะผมเชื่อว่าองค์ความรู้ที่ทันโลกของคนรุ่นใหม่จะช่วยพัฒนาประเทศได้ จะมายุ่งกับสถาบันฯอันเป็นที่รักและศรัทธาของคนไทยทำไม นายธนกร กล่าว
    
 นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์ผ่านแพลตฟอร์ม x โดยระบุว่า พฤติกรรมไปรบกวนขบวนเสด็จฯ ค่อนข้างชัดเจนว่า ฝ่ายต่างๆ ก็ออกมาประณาม แม้กระทั่งกลุ่มที่ไปยุยงกันเองแต่ต้น ก็แห่กันตัดหางประณามพฤติกรรมดังกล่าว เพราะค่านิยมการให้ร้าย ข่มขู่ ท้าทาย ไม่ให้เกียรติพระบรมวงศานุวงศ์นั้น เป็นการกระทำที่ด้อยค่าสังคม ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศเสื่อมถอย
    
 ประเด็นของผมคือ เจ้าหน้าที่ที่ดูแลความปลอดภัย ถวายการอารักขา ฝ่ายข่าว ส่วนล่วงหน้า ส่วนติดตาม ควรจะทบทวนแผนและแนวทางการปฏิบัติ (Protocol) ให้รัดกุม และเร่งรัดการนำผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีโดยเร็ว หากไม่แสดงท่าทีให้ชัดเจน จะเกิดแรงปะทะในหมู่ประชาชน ขยายรอยร้าว สร้างความแตกแยกโดยใช่เหตุครับ
   
  วันอังคารนี้ผมจะนำประเด็นเข้าที่ประชุมพรรคขอมติ ให้ยื่นญัตติด่วนต่อสภาฯ และให้ส.ส.รทสช. เสนอเรื่องต่อกรรมาธิการฯทุกคณะที่เกี่ยวข้อง ทบทวนมาตรการอารักขาถวายความปลอดภัยฯ รวมถึงแนวทางการป้องกันปราบปรามพฤติกรรม ข่มขู่ ท้าทาย ให้ร้าย ในลักษณะเดียวกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
  
   ด้าน นายชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊ก "ชัยธวัช ตุลาธน - Chaithawat Tulathon" ระบุว่า จากกรณีที่หลายฝ่ายมีความเห็นในหลากหลายทิศทาง ต่อการแสดงออกทางการเมืองของกลุ่มกิจกรรมทะลุวัง ที่กำลังเป็นประเด็นขณะนี้ ผมมีความเห็นว่า อันดับแรก เราต้องหันกลับมาทบทวนหลักการสำคัญของสังคมประชาธิปไตย นั่นคือธรรมชาติของทุกสังคมย่อมมีความเห็นแตกต่างกันเป็นเรื่องธรรมดา ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ ในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงเรื่องความเห็นต่อบ้านเมือง แต่ความเห็นที่แตกต่างกันเหล่านั้น ต้องไม่ถูกจัดการด้วยการใช้กำลัง การล่าแม่มด หรือการผลักไสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งออกไป ซึ่งจะยิ่งเพิ่มช่องว่างระหว่างผู้มีความคิดความเชื่อต่างกันให้มากขึ้น แต่ต้องใช้กระบวนการทางประชาธิปไตย เพื่อลดช่องว่างทางความเข้าใจโดยไม่ใช้ความรุนแรง
    
 ในกรณีกลุ่มทะลุวัง ผมเข้าใจดีถึงความคับข้องใจที่พวกเขาแสดงออก แต่ขณะเดียวกัน ผมเชื่อว่าพวกเราทราบดี ว่าเนื้อหาสาระกับวิธีการแสดงออก เป็นสองสิ่งที่สำคัญควบคู่กัน การเลือกวิธีแสดงออกแบบใดแบบหนึ่ง ย่อมมีทั้งฝ่ายที่พอใจ/ไม่พอใจ เข้าใจ/ไม่เข้าใจ จึงพึงพิจารณาว่าการแสดงออกทางการเมืองเช่นนั้น สามารถถ่ายทอดความรู้สึกและเหตุผลภายในใจไปยังประชาชนกลุ่มอื่นในสังคม ให้รับรู้และเข้าใจเหตุผลที่แท้จริงของผู้แสดงออกได้หรือไม่
    
 อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าวิธีการที่แต่ละคนแต่ละฝ่ายเลือกใช้คืออะไร เส้นที่เรา ต้อง ไม่ข้ามไป คือการใช้ความรุนแรงตอบโต้ หรือเจตนาทำลายล้างคนที่คิดไม่เหมือนตนให้หมดไปจากสังคม การกระทำของกลุ่ม ศปปส. ที่สยามพารากอนในวันนี้ จึงเป็นสิ่งที่ผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
   
  ผมเห็นว่าสังคมไทยทุกฝ่ายต้องเรียนรู้จากความรุนแรงทางการเมืองในอดีต การปลุกระดมสร้างความเกลียดชังจนนำมาสู่การใช้ความรุนแรง ไม่อาจคลี่คลายความขัดแย้งได้อย่างยั่งยืน มีแต่จะยิ่งเพิ่มช่องว่างระหว่างผู้มีอุดมการณ์ทางการเมืองต่างกันในสังคม ให้ยากจะหันหน้ามาคุยกันได้ เวลานี้เป็นเวลาที่ต้องใช้เหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ การมีกระบวนการที่โอบรับทุกฝ่ายให้หันหน้าเข้าหากัน เพื่อพูดคุยและพร้อมรับฟังกันและกันอย่างเปิดใจ คือหนทางเดียวที่จะพาสังคมไทยออกจากความขัดแย้งนี้
   
  ผมเชื่อว่าเรายังพอมีความหวัง สัญญาณของการพาสังคมออกจากความขัดแย้งยังไม่หมดไปเสียทีเดียว เพราะในสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างน้อยผมเห็นความพยายามจากหลายฝ่ายในการพูดถึงกระบวนการที่จะนำไปสู่การนิรโทษกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในหนทางเพียงไม่กี่อย่าง ที่จะสร้างพื้นที่ให้เราหันหน้ามาคุยกันอย่างมีวุฒิภาวะ รับฟังกันอย่างมีเหตุผลและอย่างจริงใจ ผมเชื่อว่าการนิรโทษกรรมจะเป็นการ เจาะหนอง ระบายความขัดแย้งทางการเมืองที่เรื้อรัง ให้ทุกฝ่ายเย็นลงมากพอที่จะมานั่งคุยกัน หาทางออกจากความขัดแย้งทางการเมืองที่สะสมมายาวนาน
   
  ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นี้ ที่ลานประชาชนรัฐสภา เครือข่าย #นิรโทษกรรมประชาชน จะมีการจัดพื้นที่พูดคุยเพื่อนำไปสู่การลดความขัดแย้งของสังคม ผมจะเข้าร่วมกิจกรรมด้วย จึงอยากเชิญชวนให้ทุกฝ่ายลองเริ่มต้นมาพูดคุย เปิดใจรับฟังเสียงของกันและกันครับ
   
  มีรายงานว่า ภายหลังที่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้เดินทางไปที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลเพื่อหารือกับ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , รองผู้บัญชาการที่กำกับดูแลกิจการความมั่นคงและสืบสวนสอบสวน และผู้เกี่ยวข้อง ถึงแนวทางการดำเนินคดีกับ น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ อายุ 20 ปี และพวก ที่มีพฤติกรรมพยายามขับรถแซงขบวนเสด็จฯ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในขณะที่ขบวนกำลังแล่นผ่านทางด่วน พร้อมบีบแตรรถยนต์ลากยาวระหว่างขบวนเสด็จผ่านทางร่วม พร้อมกำชับให้ฝ่ายสืบสวนดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุว่ามีการตระเตรียมการมาก่อนหรือไม่ อีกทั้งกำชับทางพนักงานสอบสวนหากพบว่ามีการเข้าข่ายการกระทำความผิดให้ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมพร้อมเร่งรัดให้ดำเนินการแล้วเสร็จภายในสัปดาห์หน้า
   
  โดยขณะนี้ทางพนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เพื่อที่จะดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาในประเด็นที่มีการตั้งคำถามว่าการกระทำของน.ส.ทานตะวันเข้าข่ายความผิดเงื่อนไขของศาลจนต้องถอนประกันหรือไม่นั้น ในเบื้องต้นพบว่าเข้าข่ายความผิด ซึ่งตามขั้นตอนหากตัวของตะวัน มารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก ทางพนักงานสอบสวน สน.ดินแดง ซึ่งเป็นเจ้าของสำนวนคดี ก็จะสรุปความเห็นพร้อมรวบรวมพยานหลักฐาน ทำรายงานเสนอเพื่อยื่นคำร้องขอถอนประกันต่อศาลอาญา จากนั้นศาลจะเป็นผู้พิจารณาว่าผิดเงื่อนไขจนเป็นเหตุให้ต้องถอนประกันหรือไม่