กมธ.นิรโทษกรรมฯ ถกนัดแรก เล็งเชิญ คณิต-โคทม  ให้ความเห็นปรองดอง 15 ก.พ. ยังไม่สรุปเหมารวมความผิด ม.112 หรือไม่ ด้าน กกต. ยื่นศาลฎีกาวินิจฉัยเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง "พรวิศิษฐ์" ผู้สมัครส.ส.นครสวรรค์  พลังประชารัฐ ปมแจกเงินซื้อเสียง เจ้าต้วพร้อมพิสูจน์ความจริงในชั้นศาล ธรรมนัสแจงนโยบาย พปชร.ไม่ให้ใครซื้อเสียง เล็งหารือกก.บห.หาแนวทางแก้ไข

     
ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 8 พ.ค.67 นายชูศักดิ์ ศิรินิล ส.ส.บัญชีรายชื่อ  พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรอบการทำงานของ กมธ.ภายหลังการประชุมนัดแรก ว่า เพื่อให้การทำงานบรรลุกฎหมาย ซึ่งในการประชุมครั้งหน้าคือวันที่ 15 ก.พ. เวลา 13.00น. ได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิคือ นายคณิต ณ นคร  นายโคทม อารียา ที่เคยมีประสบการณ์ ในการศึกษาเรื่องนิรโทษกรรมและการปรองดอง มาให้ความเห็นต่อกมธ.  
   
  สำหรับกรอบการทำงาน กมธ.ได้วางเป้าหมายจะหารือพูดคุยในรายละเอียดในการประชุมครั้งต่อไป พร้อมกับอ้างอิงความเห็นของสภาผู้แทนราษฎรที่ได้อภิปรายซึ่งสะท้อนถึงความเห็นของทุกพรรคการเมืองเห็นด้วยกับการนิรโทษกรรม เพื่อนำไปสู่ความปรองดองของคนในชาติ ซึ่งบางพรรคการเมืองมีการเสนอร่างกฎหมายออกมาแล้ว 
      
 "แต่ปัญหาใหญ่ของกมธ.ที่ต้องขบคิดคือเราจะนิรโทษกรรมให้ครอบคลุมเพียงใด ซึ่งเป็นประเด็นที่สังคมและพรรคการเมืองถกเถียงกันอยู่ในขณะนี้  กมธ.จะต้องศึกษาตรงนี้ว่าจะครอบคลุมอะไร หรือการกระทำอะไรบ้าง หรือครอบคลุมตั้งแต่ช่วงเวลาใด กับบุคคลใดเป็นต้น อันนี้เป็นงานหนักของกมธ." 
    
 นายชูศักดิ์  กล่าวต่อว่า  กมธ.จะต้องหารือให้ได้ข้อสรุปว่าในท้ายที่สุด หากเห็นตรงกันว่าควรจะนิรโทษกรรมหรือจะไปถึงขั้นการยกร่างกฎหมายหรือไม่ เนื่องจากเป็นภารกิจตามที่ได้มีมติตั้งกมธ.ชุดนี้ขึ้นมา เพื่อศึกษาการตรากฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งเรื่องนี้เป็นหัวใจสำคัญจะต้องสอบถามให้เกิดความรอบคอบเพื่อจะได้เกิดแรงร่วมใจกันในการทำงานให้สำเร็จ
    
 เมื่อถามว่า จะมีการพิจารณาถึงการจะนิรโทษให้กลุ่มบุคคล ที่ต้องโทษคดีอาญา มาตรา 112 หรือไม่ด้วยนั้น  นายชูศักดิ์ กล่าวว่า จะต้องฟังความเห็นของกรรมาธิการก่อนขออย่าเพิ่งไปด่วนสรุป  ประกอบกับพิจารณาสถานการณ์ทางการเมืองและสังคมในขณะนี้ซึ่งจะต้องดูให้เกิดความรอบด้าน อย่าถึงขั้นฟันธงว่าจะมีหรือไม่มีอะไร ขณะเดียวกัน เชื่อว่าผลการศึกษานิรโทษกรรมจากคณะกรรการต่างๆ นำมาพิจารณาศึกษาในชั้นกรรมาธิการได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องตั้งคณะอนุกมธ.ขึ้นมาเพิ่ม
    
 ขณะที่ เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เผยแพร่คำวินิจฉัยกกต.มีมติให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของ นายพรวิศิษฐ์ แจ่มใส ผู้สมัครส.ส.นครสวรรค์ เขต 5 พรรคพลังประชารัฐ และน.ส.ณฐณณฑ์ เบญจภิญโญ ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.มาตรา 73 (1) ประกอบมาตรา 138 โดยให้ดำเนินคดีอาญาบุคคลทั้งสอง ตามมาตรา 73 (1) ประกอบมาตรา 158 ของกฎหมายเดียวกัน รวมทั้งให้กันผู้แจ้งเหตุ สามีของผู้แจ้งเหตุ พยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 2 ถึงคนที่ 4 คนที่ 6 และคนที่ 8 ไว้เป็นพยานโดยไม่ดำเนินคดี
    
 จากกรณีไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วฟังได้ว่า น.ส.ณฐณณฑ์ซึ่งเป็นผู้ช่วยหาเสียงของนายพรวิศิษฐ์ได้มอบเงินจำนวน 10,000 บาท ให้แก่ผู้แจ้งเหตุในวันที่ 4 พ.ค.66 เวลา 11.30 น.ที่ศูนย์ประสานงานพรรคพลังประชารัฐ สาขาตาคลี ตามที่ผู้แจ้งเหตุเดินทางไปทวงเงินค่าจ้างในการไปเข้าร่วมฟังการปราศรัยหาเสียงเลือกตั้ง ของนายพรวิศิษฐ์เมื่อวันที่ 29 เม.ย.66 โดยน.ส.ณฐณณฑ์บอกให้ผู้แจ้งเหตุนำเงินนี้ไปมอบให้กับให้บุคคลในครอบครัวของผู้แจ้งเหตุได้แก่ ผู้แจ้งเหตุ ตาและยายของสามีผู้แจ้งเหตุ และสามีของผู้แจ้งเหตุคนละ 500 บาท พร้อมทั้งขอให้ลงคะแนนให้แก่นายพรวิศิษฐ์และที่เหลืออีก 4,000 บาท เป็นค่าจ้างเพื่อไม่ให้ผู้แจ้งเหตุไปร้องเรียนต่อสำนักงานกกต.ตามที่ผู้แจ้งเหตุพูดตอนมาทวงเงินก่อนว่า จะไปดำเนินการ ร้องเรียน ต่อ กกต. เหตุการณ์ดังกล่าว ผู้แจ้งเหตุได้รับเสื้อสีขาวที่พิมพ์ชื่อของพรรคพลังประชารัฐ จำนวน 2 ตัว
   
  ต่อมาในวันเดียวกันเวลาประมาณ 20.00 น. ผู้แจ้งเหตุและสามีของผู้แจ้งเหตุได้เดินทางไปรวบรวมบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งในชุมชนตาคลีและนอกชุมชนตาคลีได้จำนวน 31 บัตร โดยนำไปส่งมอบให้น.ส.ณฐณณฑ์ที่ศูนย์ประสานงานพรรคพลังประชารัฐสาขาตาคลี ซึ่งมีการคัดถ่ายเป็นสำเนาเอกสารก่อนนำบัตรประจำตัวประชาชนดังกล่าวมาคืนให้แก่ผู้แจ้งเหตุ โดยน.ส.ณฐณณฑ์ให้ผู้แจ้งเหตุเขียนชื่อ ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์ของเจ้าของบัตรประจำตัวประชาชน ลงในกระดาษเรียงตามลำดับรายชื่อเพื่อนำไปใช้เป็นข้อมูลสำหรับเตรียมแจกเงินคนละ 500 บาท ซึ่งถ้อยคำดังกล่าวของผู้แจ้งเหตุสอดคล้องกับเหตุการณ์ที่ปรากฏในบทสนทนาผ่านทางแอพพลิเคชันไลน์ระหว่างน.ส.ณฐณณฑ์กับผู้แจ้งเหตุ ที่มีการชักชวนกัน ไปเดินหาเสียงเลือกตั้งให้นายพรวิศิษฐ์ แสดงให้เห็นถึงพฤติการณ์ที่น.ส.ณฐณณฑ์ยินยอมให้ ผู้แจ้งเหตุเข้ามาช่วยหาเสียงเลือกตั้งให้แก่นายพรวิศิษฐ์
  
   อีกทั้งเมื่อผู้แจ้งเหตุส่งข้อความว่า เจ๊หงส์คะ ได้บัตรมาหมดแล้วค่ะ 34 คน ชัวร์ทุกคน เย็นนี้จะส่ง LINE ส่งงานให้ค่ะ เจ๊หงส์จะให้เขียนรายชื่อ หรือเอาบัตรประชาชนไปปริ้นออฟฟิศคะ พอดีว่าได้บัตรประชาชนมาหมดแล้ว และได้ส่งภาพถ่ายรายชื่อของผู้มีสิทธิเลือกตั้งและภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งดังกล่าวที่ผู้แจ้งเหตุรวบรวมมาให้แก่ผู้น.ส.ณฐณณฑ์ ซึ่งน.ส.ณฐณณฑ์ก็ส่งข้อความสนทนากับผู้แจ้งเหตุต่อไปโดยมิได้ปฏิเสธการกระทำดังกล่าวของผู้แจ้งเหตุ
    
 ประกอบกับจากการตรวจสอบคลิปบันทึกเสียงการสนทนาระหว่างผู้แจ้งเหตุกับน.ส.ณฐณณฑ์ ยังปรากฏข้อความตอนหนึ่งว่า ..แล้วคิวของทุกคนมันรออยู่ คืออยากให้แจ้งชาวบ้านว่าเดี๋ยวพี่หงส์รีบจัดการให้ หรือว่าแจ้งชาวบ้านว่าเดี๋ยวจะจัดการให้ อย่าเพิ่งกรูเข้ามา สอดคล้องกับถ้อยคำของผู้แจ้งเหตุที่ว่า ได้ไปที่ศูนย์ประสานงาน พรรคพลังประชารัฐ สาขาตาคลี เพื่อทวงถามเรื่องเงินที่จะนำไปจ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่รวบรวมรายชื่อและบัตรประจำตัวประชาชนส่งให้แก่น.ส.ณฐณณฑ์
    
 โดยสอดคล้องกับถ้อยคำของพยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 1 -8 ซึ่งเป็นเจ้าของบัตรประจำตัวประชาชนที่ผู้แจ้งเหตุกล่าวอ้าง ซึ่งให้ถ้อยคำว่าได้มีผู้แจ้งเหตุและบุคคลอื่นขอเก็บบัตรประจำตัวประชาชนของพวกตนโดยพยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 2-4 คนที่ 5 และคนที่ 8 ให้ถ้อยคำสอดคล้องกันว่าบุคคลที่ขอเก็บบัตรประจำตัวประชาชนดังกล่าวได้สัญญาว่าจะให้เงินเพื่อลงคะแนนเสียงให้กับผู้สมัครหมายเลข 9 ซึ่งเป็นหมายเลขประจำตัวผู้สมัครของนายพรวิศิษฐ์ พยานหลักฐานจึงน่าเชื่อว่าน.ส.ณฐณณฑ์ กระทำการ เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่นายพรวิศิษฐ์ตามที่มีการกล่าวหา
    
 นอกจากนี้ ที่น.ส.ณฐณณฑ์มอบเสื้อที่ตนได้รับจัดสรรให้แก่ผู้แจ้งเหตุจำนวน 4 ตัว ได้แก่ เสื้อยืดสีน้ำเงินที่มีตราสัญลักษณ์ของพรรคพลังประชารัฐ และด้านหลังเสื้อมีข้อความว่า พรรคพลังประชารัฐ จำนวน 1 ตัว และเสื้อสีขาวที่มีตราสัญลักษณ์ของพรรคพลังประชารัฐ และด้านหลังเสื้อมีข้อความว่า รับใช้ใกล้ชิดต้องพรวิศิษฐ์ แจ่มใส จำนวน 3 ตัว โดยไม่พบว่าผู้แจ้งเหตุ พยานคนที่ 1 และคนที่ 2ของผู้แจ้งเหตุ เป็นสมาชิกของพรรคพลังประชารัฐ การให้เสื้อดังกล่าวแก่ผู้แจ้งเหตุจึงมีลักษณะเป็นการให้ทรัพย์สินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ลงคะแนนให้แก่นายพรวิศิษฐ์
     
เมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์ที่นายพรวิศิษฐ์ได้แจ้งชื่อน.ส.ณฐณณฑ์เป็นผู้ช่วยหาเสียงทำหน้าที่ประสานงานและหาเสียงเลือกตั้งในพื้นที่เทศบาลเมืองตาคลีซึ่งปฏิบัติหน้าที่ที่ศูนย์ประสานงานพรรคพลังประชารัฐ สาขาตาคลี ภาพถ่ายน.ส.ณฐณณฑ์ไปร่วมหาเสียงเลือกตั้งกับนายพรวิศิษฐ์ แสดงให้เห็นว่าน.ส.ณฐณณฑ์มีบทบาทสำคัญในการหาเสียงเลือกตั้งของนายพรวิศิษฐ์ จึงน่าเชื่อว่านายพรวิศิษฐ์รู้เห็นเป็นใจให้น.ส.ณฐณณฑ์ กระทำการดังกล่าว กรณีจึงปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่านายพรวิศิษฐ์สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้น.ส.ณฐณณฑ์ให้เงิน เสนอให้หรือสัญญาว่าจะให้เงิน รวมทั้งให้เสื้อดังกล่าวซึ่งเป็นทรัพย์สินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเองซึ่งเป็นการทุจริตการเลือกตั้ง อันเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.2561 มาตรา 73 (1) ประกอบมาตรา 138 และเป็นเหตุให้ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครสวรรค์ เขตเลือกตั้งที่ 5 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนายพรวิศิษฐ์มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
     
ด้าน นายพรวิศิษฐ์ แจ่มใส ผู้สมัครส.ส.นครสวรรค์ เขต 5 พรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า เรื่องดังกล่าวเชื่อว่าเป็นการกลั่นแกล้งกันทางการเมือง ทำให้ตนและพรรคพลังประชารัฐเสียหาย ซึ่งตนเชื่อในความบริสุทธิ์ของตัวเอง และพร้อมที่จะไปพิสูจน์ความจริงในชั้นศาล
     
ขณะที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณี กกต.ให้ใบแดงผู้สมัครส.ส.พลังประชารัฐ จ.นครสวรรค์ ว่า เพิ่งได้รับข้อมูลจากสื่อมวลชน แต่ไม่ใช่นโยบายของพรรคพลังประชารัฐ เป็นความผิดส่วนบุคคล ซึ่งเมื่อเป็นความผิดส่วนบุคคล อดีตผู้สมัครก็ต้องไปแก้ต่างด้วยตัวเอง ซึ่งนโยบายพรรคพลังประชารัฐ เราไม่มีนโยบายที่จะไปให้การสนับสนุนผู้สมัครในการกระทำละเมิดกฎหมาย กกต.อยู่แล้ว
    
 เมื่อถามว่า พรรคพลังประชารัฐจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบควบคู่ไปกับ กกต.หรือไม่เนื่องจากอดีตผู้สมัครดังกล่าวยังเป็นสมาชิกของพรรคอยู่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า เรื่องนี้ตนจะนำไปหารือกับคณะกรรมการบริหารพรรคว่าจะมีมาตรการและการแก้ไขปัญหาอย่างไร