จุรินทร์ ชี้รัฐบาลหมดเวลายื้อ ดิจิทัลวอลเล็ต จี้ต้องแสดงความรับผิดชอบนโยบายหาเสียง เรืองไกรระบุ ความเห็นปปช. เปิดช่องร้องเรียนได้ บอกเคยเตือน นายกฯ ให้ทบทวน ขู่ถ้ายังเดินหน้า เจอร้องแน่ 

    
 ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 8  ก.พ.67  นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์  ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) มีข้อเสนอแนะต่อนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล ว่า  ขณะนี้รัฐบาลหมดเงื่อนไขที่จะซื้อเวลาแล้ว  ดังนั้นต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง  เชื่อว่าประชาชนก็ยังรอคำตอบอยู่ ซึ่งข้อเสนอแนะของ ป.ป.ช.มีความชัดเจน สะท้อนว่า ป.ป.ช.ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้  จึงขอชื่นชมว่า ป.ป.ช.มีทีมงานด้านเศรษฐกิจที่ดี มีศักยภาพสูงในการให้ความเห็นที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบต่อไปในอนาคต
      
 "ป.ป.ช.ชี้ชัดว่าเศรษฐกิจไม่ได้วิกฤติ  ทั้งเศรษฐกิจระดับมหภาค ดังนั้นถ้ารัฐบาลจะตัดสินใจอะไร ต้องคำนึงถึงว่าไม่ก่อให้เกิดการทุจริต  ทั้งเชิงนโยบายและภาคปฏิบัติ หรือทำผิดกฎหมาย "นายจุรินทร์ กล่าว
   
  ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งจะเกิดผลดี ผลเสียอย่างไร นายจุรินทร์ กล่าวว่า รัฐบาลเมื่อหาเสียงไว้แล้วก็ต้องทำ ยืนยันตนไม่เคยขวางโครงการดิจิทัล วอลเล็ต แต่พรรคการเมืองต้องแสดงความรับผิดชอบตามที่หาเสียงไว้   เมื่อเป็นรัฐบาลก็ต้องทำให้ได้ เพราะจะทำให้นักการเมืองมีความรับผิดชอบมากขึ้น แม้จะใช้นโยบายโครงการประชานิยม ก็เป็นประชานิยมที่มีความรับผิดชอบที่ต้องทำให้ตรงปก และต้องรับผิดชอบตามผลที่ตามมา
      
 "หมดเวลายื้อแล้ว ที่จะอ้างเพราะก่อนหน้านี้อ้างกฤษฎีกา และวันนี้ ป.ป.ช.ก็มีคำแนะนำให้รัฐบาลแล้ว  จึงไม่มีอะไรที่จะซื้อเวลาแล้ว" นายจุรินทร์ กล่าว
   
  ด้าน นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงความเห็นจากป.ป.ช.ต่อโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ว่า อาจขัดต่อข้อกฎหมายหลายข้อ จะทำให้มีช่องทางให้มีนักร้อง ไปร้องเรียน โครงการดังกล่าวได้ง่ายหรือไม่ ว่า มีโอกาสร้องเรียนได้ง่าย ถ้ากล้าทำตนก็ไม่รู้ ถือว่าเตือนแล้ว และขอบคุณที่ป.ป.ช.เตือนคณะกรรมการการเลือกตั้งด้วย เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่ปล่อยให้พรรคการเมืองหาเสียงจะพูดอะไรก็ได้ ถึงเวลาก็มาบอกว่าจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้อย่างโน้นอย่างนี้ แบบนี้ถ้าตระบัดสัตย์ หรือโกหกประชาชนได้ แล้วคุณจะไม่ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างอื่นได้หรือ คุณเอาแต่อำนาจ รวมหัวกันหาอำนาจ ทรยศเพื่อนฉีกเอ็มโอยู ขอให้ตระหนักไว้ และตนยังเป็นนักร้อง และนักตรวจสอบอยู่ ถ้าตนว่างตนจะทำ
   
  เมื่อถามว่า เรื่องเงินดิจิทัลวอลเล็ตจะร้องเรียนเองหรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า ร้องเองได้ ซึ่งเรื่องเงินดิจิทัลวอลเล็ตต้องเข้าใจนโยบายของรัฐบาลที่แถลง และต้องเข้าใจรัฐธรรมนูญ การจ่ายเงินแผ่นดิน รวมถึงต้องเข้าใจกฎหมายวินัยการเงินการคลัง วิธีงบประมาณ ซึ่งตนได้เขียนเรื่องนี้เตือน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ไปแล้ว 4 แผ่น เป็นข้อกฎหมายล้วนๆ และตนไม่แปลกใจที่กฤษฎีกาและป.ป.ช.ให้ความเห็นครั้งนี้ เงินแผ่นดิน จะเอาไปทำอะไรต่างๆ เราทุกคนจะต้องเป็นคนใช้หนี้ ซึ่งโครงการดิจิทัลวอตเล็ตอาจจะทำให้ขาดทุนเหมือนโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งโครงการรับจำนำข้าวแม้ขาดทุนก็ยังมีข้าวเปลือกแต่โครงการดิจิทัลเล็ตหากขาดทุนจะไม่เหลืออะไรเลย และตนเตือนแล้วด้วยความรู้ความสามารถและประสบการณ์ของตน ไม่ได้ตั้งท่าว่าจะร้องอย่างเดียว ก็ต้องรอให้มีการทบทวนก่อน
     
  "ภาษาพระเรียกว่าพึงสังวร ภาษาชาวบ้านเรียกว่าสำเนียก ไว้ว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้ ควรจะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ" นายเรืองไกรกล่าว
    
 ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีโอกาสไปร้องด้วยตนเองหรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า  แผลยังไม่เกิด ก็ยังไม่ต้องทายา แต่ถ้าทำเข้าข่ายความผิดก็ใช้กฎหมาย ป.ป.ช. ได้เลยไม่ต้องห่วง ตนทำให้ แต่สิ่งที่ตนทำ แต่ตนกล่าวหาจะไม่ใช้อารมณ์ ไม่ใช้ความเห็น เหมือนหลายๆคน ไปยื่นคำร้องว่าผิดนั่นผิดนี่ ซึ่งรัฐบาล ก็มีสิทธิ์แก้ข้อกล่าวหาได้ เจ้าหน้าที่มีหน้าที่ตรวจสอบก็ตรวจสอบไปจะถูกจะผิดก็อยู่ที่ฟังคำตัดสิน ต่อข้อถามว่า ถ้ามีการร้องและผิดจริง จะถึงกับหลุดจากตำแหน่งเลยหรือไม่ นายเรืองไกรกล่าวว่า อยู่ที่ดุลยพินิจของศาล
   
  ด้าน นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำเตือนประชาชนผู้ใช้สิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ ระวังถูกแอบอ้างสวมสิทธิ ซึ่งกรมบัญชีกลางได้รับแจ้งจากสำนักงานคลังจังหวัดต่าง ๆ ว่า ผู้มีสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐหลายรายไม่สามารถใช้สิทธิสวัสดิการได้ เนื่องจากถูกแอบอ้างใช้สิทธิที่ร้านค้าข้ามพื้นที่ (ต่างจังหวัด) โดยผู้มีสิทธิไม่ได้เป็นผู้ใช้สิทธิดังกล่าว
   
  นายคารม กล่าวว่า จากการตรวจสอบของกรมบัญชีกลางพบว่า เกิดจากร้านค้า ที่เข้าร่วมโครงการฯ ตระเวนขายสินค้าด้วยรถเร่ในพื้นที่ต่าง ๆ และใช้แอปพลิเคชันถุงเงินในการรับชำระวงเงินค่าซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้า และวงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม  โดยหลอกให้นำบัตรประจำตัวประชาชนไปซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคต่าง ๆ หรือแลกของกินของใช้ 
   
     เตือนประชาชนผู้มีสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐให้ระมัดระวังการใช้สิทธิสวัสดิการกับร้านค้าที่กระทำผิดเงื่อนไข ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบมีร้านค้าจากรถเร่มีพฤติกรรมหลอกลวง ส่งผลกระทบวงเงินสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีสิทธิที่ใช้สิทธิกับรถเร่ ดังนั้น เพื่อป้องกันการแอบอ้างสวมสิทธิของผู้มีสิทธิทุกคน อย่าใช้วงเงินสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐซื้อของหรือแลกของจากรถเร่ ย้ำเตือนผู้ที่สวมสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ มีโทษทั้งทางอาญาและทางแพ่ง 
   
  นายคารม กล่าวต่อว่า ผลการจ่ายเงินสวัสดิการแห่งรัฐ ตั้งแต่วันที่ 1- 31 มกราคม 2567 กรมบัญชีกลางรายงานการจ่ายเงินฯ ดังนี้ สวัสดิการที่ให้เป็นวงเงิน (บัตรประจำตัวประชาชน) ประกอบด้วย 1. วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค 4,016.45 ล้านบาท 2. วงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม 359.54 ล้านบาท และ 3. วงเงินค่าเดินทางผ่านระบบขนส่งสาธารณะ 114.76 ล้านบาท รวมจำนวนเงินสวัสดิการทีให้เป็นวงเงิน (บัตรประชาชน) จำนวน  4,490.75 ล้านบาท สวัสดิการที่ให้ผ่านระบบพร้อมเพย์ (บัตรประจำตัวประชาชน) ได้แก่ มาตรการเงินเพิ่มเบี้ยความพิการ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2563 จำนวนเงิน 250.61 ล้านบาท และสวัสดิการที่จ่ายตรงผู้ให้บริการ  ประกอบด้วย 1. มาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้า 201.44  ล้านบาท 2 มาตรการบรรเทาภาระค่าน้ำประปา 23.66 ล้านบาท รวมจำนวนเงินสวัสดิการที่จ่ายตรงผู้ให้บริการ จำนวน 225.10 ล้านบาท รวมผลการจ่ายเงินสวัสดิการแห่งรัฐ ตั้งแต่วันที่ 1- 31 ม.ค.67  เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น  4,966.46 ล้านบาท