เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 67 นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ให้สัมภาษณ์หลัง ป.ป.ช. มีข้อเสนอแนะในนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล ว่ารัฐบาลมีความหมกมุ่นในการดำเนินนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต รวมทั้งการเยือนต่างประเทศบ่อยครั้ง ที่ปกติจะเป็นหน้าที่รัฐมนตรีต่างประเทศ รวมทั้งการเปิดงานอีเวนต์ ตรวจราชการต่างจังหวัด จนบางครั้งคนก็ไม่อยากจะพูดออกมาว่า "นายกฯ อีเวนต์" ซึ่งให้รัฐบาลลืมการพัฒนาเรื่องสำคัญอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาประเทศ การออกมาตรการทางเศรษฐกิจ หรือการลงทุนกับกลุ่มเปราะบางและการพัฒนาชุมชน

หากมีการยื่น พ.ร.บ.กู้เงินเข้าสภาฯ แม้ว่าฝ่ายค้านจะโหวตไม่เห็นด้วย แต่รัฐบาลอาจจะเสนอผ่านจนถึงวาระ 3 แต่เมื่อมาถึงการพิจารณาของวุฒิสภา ตนเชื่อว่าจะต้องมีผู้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณากฎหมายฉบับนี้

อย่างไรก็ตาม นายสมชายให้ความเห็นส่วนตัวว่า แม้ตนจะโหวตไม่เห็นด้วย แต่จะขอรับหลักการของนโยบายมาแปรญัตติแก้กฎหมาย เพื่อให้กฎหมายฉบับดังกล่าวเกิดประโยชน์กับประชาชน / บอกต่อว่าหากประเทศไทยเกิดวิกฤติเศรษฐกิจจริง รัฐบาลจะต้องออกพระราชกำหนดกู้เงิน เพื่อดำเนินนโยบายนี้ แต่เหตุที่ไม่ทำเพราะเกรงว่าจะเสี่ยงต่อการถูกยุบสภา ตนเชื่อว่าหากมีการยื่น พ.ร.ก. เข้ามาที่สภาฯ วุฒิสภาจะคว่ำวาระนั้นแน่นอน และอาจจะซ้ำรอยโครงการจำนำข้าว ที่ต้องรับผิดชอบด้วยโทษจำคุก

บอกต่อถึงข้อมูลที่อ้างว่า มีกระบวนการทุจริต จากกลุ่มฟอกเงิน บริษัทนอมินี เตรียมรับซื้อเงินดิจิทัลจากชาวบ้าน นายสมชาย อ้างว่า มีการตั้งราคาในตลาดมืดสูงถึง 12,000 บาท เป็นต้นไป นี่จึงเป็นสิ่งที่ตนเห็นด้วยกับคำแนะนำของ ป.ป.ช. ซึ่งไม่ได้กล่าวหาว่า รัฐบาลทุจริต แต่นโยบายดังกล่าวอาจจะเป็นการเปิดช่องทางดังกล่าวได้

บอกต่อว่ารัฐบาลต้องบอกตรงๆ ว่าจะต้องเลิกนโยบายนี้ และหาแนวทางการพัฒนา หรือหานโยบายที่ตอบโจทย์มาแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ซึ่งตนก็คิดว่า มีอีกหลายร้อยเรื่อง ที่สามารถทำได้ใน 1-2 เดือนนี้

ทิ้งท้ายว่า ตนอาจจะต้องดำเนินคดีกับรัฐบาล ไม่ว่าในฐานะสมาชิกวุฒิสภา หรือประชาชน หากมีการทุจริตในนโยบายดังกล่าว อีกทั้งยังเป็นการปกป้องภาษีของตนเองและประชาชน เพื่อให้การดำเนินนโยบายในอนาคตเกิดประโยชน์สูงสุด


 

#ดิจิทัลวอลเล็ต