"บิ๊กเต่า" เรียกประชุมชุดทำคดีตบทรัพย์ "อธิบดีกรมการข้าว" แย้มเตรียมออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องเพิ่มอีก "แรมโบ้ อีสาน" ขนหลักฐานร้อง ปปป. แฉเคยถูกขบวนการตบทรัพย์อธิบดีกรมการข้าว รีดเงิน มีตัวละคร "ว" เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ขณะที่ "วัชระ" ร้อง "ปธ.สภาฯผู้นำฝ่ายค้าน" สอบ "เรืองไกร" ปมที่มา "รถเบนซ์ 2 คัน-เช็ค 25 ล้าน" เข้าข่ายผิด "จริยธรรมร้ายแรง" หรือไม่
เมื่อวันที่ 7 ก.พ.67 พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดีเรียกรับผลประโยชน์อธิบดีกรมการข้าว ซึ่งจากการขยายผลสามารถจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญได้แล้ว 4 ราย คือ นายศรีสุวรรณ จรรยา, นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก, นางสาว พิมพ์ณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ หรือ การ์ตูน, และนายเอกลักษณ์ วารีชล ว่า วันนี้จะมีการประชุมกันในทุกเรื่องที่เป็นความคืบหน้าในการทำคดีนี้เพื่อวางแผนตั้งรับการทำงานและขยายผลบุคคลที่ร่วมกระทำความผิด รวมถึงความชัดเจนในการออกหมายจับเพิ่มเติมและเตรียมขยายผลวงความเสียหายคดีตบทรัพย์เพิ่มเติมที่พบว่ามีความเสียหายอีก 1-2 วงที่ยังรอผู้เสียหายนำหลักฐานและเข้ามาแจ้งความดำเนินคดี
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมอีกว่า ในช่วงบ่ายจะมีการประชุมของคณะทำงานชุดใหญ่ ประกอบด้วย ตำรวจฝดายสืบสวนสอบสวน ปปป. พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม รวมถึงพนักงานสอบสวน ปอท. ภายหลังจากที่ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนขึ้นมาดูแลคดีนี้วันเดียวกัน นายเสกสกล อัตถาวงศ์ หรือ แรมโบ้อีสาน เดินทางมาที่กองบังคับการปตองกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติไม่ชอบ เพื่อให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน หลังจากเคยโดน นาย อ. ที่อยู่ในแก๊งตบทรัพย์อธิบดีกรมการข้าว ขู่กรรโชกทรัพย์มูลค่าหลายแสนบาท มาตั้งแต่ปี 65 ต่อเนื่องปี 66 โดยมีพฤติการณ์ใช้ตัวละครสลับหมุนเวียนร้องเรียนตนเอง
นายเสกสกล บอกว่า เรื่องที่ตนโดนและไปแจ้งความเคยออกข่าวไปแล้วหลายครั้ง และตนก็เคยแถลงข่าวตอบโต้ที่ทำเนียบรัฐบาลว่าตนโดนคุกคามอย่างไร และตนเคยบอกคนที่มาเล่นงานตนว่าให้ระวังถูกใช้เป็นเครื่องมือ แต่ก็ไม่มีใครฟัง และข่าวก็เงียบไป
ผู้สื่อข่าวถามว่านอกจาก นาย อ. แล้ว นาย ศ. เข้ามาเกี่ยวข้องกับขบวนการตบทรัพย์ด้วยหรือไม่ นายเสกสกล บอกว่า ในช่วงนั้น นาย ศ. ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย ส่วนนาย จ. เกี่ยวหรือไม่ นายเสกสกลไม่ตอบคำถาม บอกว่า ขอให้ข้อมูลในชั้นสอบสวนก่อน พร้อมบอกว่า นอกจากนาย อ. เรื่องที่ตนเองถูกร้องเรียนนั้น มีตัวละคร ว. เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ส่วนหลักฐานที่จะนำมาร้องเรียนวันนี้ มีทั้งคลิปเสียงและพยานหลักฐานอื่น ๆ ที่ตนเองแจ้งความไว้ มีทั้งคดีกรรโชกทรัพย์ หมิ่นประมาท คุกคาม และแจ้งความเท็จ ระหว่างปี พ.ศ. 2565-2566 รวม 6 ครั้ง
นายเสกสกล ยังบอกอีกว่า วันนี้ตนเองไม่ได้ต้องการมาเปิดหน้าชน แต่ตนเองมาในฐานะผู้ถูกกระทำ และต้องการเอาผู้กระทำผิดมาลงโทษ เมื่อถามว่าเรื่องดังกล่าวเกี่ยวข้องกับประเด็นทางการเมืองหรือไม่ นายเสกสกล บอกว่า ไม่เกี่ยวการเมือง เป็นเพียงการกรรโชกทรัพย์ พร้อมยืนยันว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เมื่อถามว่าหากไม่ได้กระทำผิดตามที่ถูกร้องเรียน ทำไมต้องจ่ายเงิน เจ้าตัวบอกว่า ขอให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวนก่อน
หลังให้สัมภาษณ์ นายเสกสกล ได้นำเอกสารหลักฐานเข้าไปให้ข้อมูลกับรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางและชุดสืบสวน โดยบอกว่า หลังพูดคุยกับตำรวจแล้ว จะมาเปิดเผยรายละเอียดที่ถูกตบทรัพย์ให้สื่อมวลชนรับทราบอีกครั้ง
ที่รัฐสภา นายวัชระ เพชรทอง อดีต สส. พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ยื่นหนังสือถึงนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้สอบสวนจริยธรรมร้ายแรง กับนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะ กมธ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 ซึ่งนายเรืองไกรเป็น กมธ.งบฯ มาตั้งแต่ปี 63, 65, 66 และ67 ก่อนหน้านี้ นายเรืองไกรได้โพสต์ภาพ และข้อความบนเฟซบุ๊ก ระบุว่า ได้รับรถเบนซ์ 2 คัน สีดำ และสีขาว อ้างว่าผู้ใหญ่ใจดีให้มา และในวันที่โพสต์ภาพรถเบนซ์ดังกล่าว ก็เป็นวันที่มีการประชุม กมธ.งบฯ พอดี ซึ่งตนได้ยื่นให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มากว่า 1 ปี 6 เดือนแล้ว และทราบว่านายเรืองไกร จดทะเบียนครอบครองรถเบนซ์สีดำ 1 คัน ส่วนสีขาวไม่มีการระบุว่าใครเป็นผู้ครอบครอง จึงขอให้สืบสวนเรื่องนี้ต่อไป
นายวัชระ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีแคชเชียร์เช็ค 25 ล้านบาท ที่มีการสั่งจ่ายให้กับนายเรืองไกร เมื่อวันที่ 22 ก.พ. 64 ที่นายเรืองไกรได้มีการโพสต์เช่นกันนั้น เป็นที่น่าสงสัยว่า นายเรืองไกรได้รับเช็คดังกล่าว เป็นค่าอะไร จากผู้ใด โดยในกรณีนี้ นายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอรัปชั่น (คปต.) ได้ร้องต่อ ป.ป.ช. ผ่านมา 2 ปีแล้ว ยังไม่มีความคืบหน้า แต่ปรากฏว่าทั้ง 2 กรณีนายเรืองไกรได้ลบเฟซบุ๊กออกไปแล้ว ดังนั้น ในฐานะที่นายเรืองไกร เป็นหนึ่งในผู้พิจารณางบประมาณประเทศ ปีละกว่า 3 ล้านล้านบาท และถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ต้องมีความโปร่งใส ยึดหลักนิติรัฐนิติธรรม
"นายเรืองไกร ไล่ตรวจสอบ 44 สส.พรรคก้าวไกล อย่างรวดเร็ว จึงอยากให้ ป.ป.ช.เร่งสรุปแคชเชียร์เช็คจำนวน 25 ล้านบาทและรถเบนซ์ทั้ง 2 คัน ว่าถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และผิดจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วยหรือไม่" นายวัชระ กล่าว
นายวัชระ กล่าวต่อว่า จากข้อเท็จจริง จึงมีเหตุอันสงสัยว่า นายเรืองไกรได้รับทรัพย์สินจากการเป็น กมธ. ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 3 (5) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน โดยตนจะไปยื่นหนังสือต่อเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ในเวลา 11.00 น. วันที่ 8 ก.พ.นี้ เพราะการเป็น กมธ. และเจ้าหน้าที่รัฐนั้น ทำให้การกระทำใดๆ หรือการรับทรัพย์ สิ่งของใดๆ ที่มีมูลค่าเกินกว่า 3,000 บาท ต้องเป็นไปตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการทุกประการ และถ้านายเรืองไกรมีจิตสำนึก ก็ควรลาออกจาก กมธ.งบฯ
"ส่วนเหตุผลว่า ทำไมจึงมาร้องในตอนนี้นั้น เนื่องจากนายเรืองไกรได้ทำการปิดเฟซบุ๊กของตัวเอง จึงถือเป็นการปกปิดหลักฐาน เพราะนายวีระได้นำโพสต์ดังกล่าวไปโพสต์ต่อ แต่นายเรืองไกรก็ไม่ได้ฟ้องร้องแต่อย่างใด เท่ากับยอมรับว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องจริง ทั้ง 2 กรณีข้างต้น ต้องมีที่มาและที่ไป หากนายเรืองไกรอ้างว่า เป็นค่าจ้าง คือค่าจ้างอะไร ตนในฐานะประชาชน และผู้เสียภาษี มีสิทธิ์สงสัยในตัวและพฤติการณ์ของนายเรืองไกร เช่นเดียวกับที่นายเรืองไกรสงสัยและยื่น สอบนักการเมืองทั้งสภาฯ อยู่ในขณะนี้" นายวัชระ กล่าว
เมื่อถามว่า สภาฯ จะสามารถถอดถอนนายเรืองไกรได้หรือไม่ นายวัชระ กล่าวว่า ต้องสอบถาม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ว่าเหตุใดจึงตั้งนายเรืองไกรเป็น กมธ. และการตั้งนายเรืองไกร ชอบด้วยจริยธรรมทางการเมืองหรือไม่