วันที่ 6 ก.พ.2567 เวลา 10.00 น.ที่รัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงคำพิพากษาศาลแขวงปทุมวันคดีแฟลชม็อบปี 62 โทษ จำคุก 4 เดือน แต่รอลงอาญา 2 ปี ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล จะทำให้นายพิธา ขาดคุณสมบัติแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ว่า ในตัวเนื้อหาสาระของคำพิพากษา นายพิธาได้เตรียมการยื่นอุทธรณ์ ตนขอตั้งข้อสังเกตถึงการวัดรัศมี 1.50 เมตรในการจัดการชุมนุม ที่ใกล้กับวังสระปทุม และเรื่องสัดส่วนโทษจำเป็นจะต้องถึงขั้นโทษจำคุก 4 เดือนหรือไม่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเมืองของนายพิธา ใน 3 ประเด็นคือ1.เมื่อยื่นอุทธรณ์นายพิธาจะยังไม่หลุดสถานะความเป็นสส. ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 และ 2.ในกระบวนการอุทธรณ์ สามารถนำไปสู่การพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้ก็จะทำให้ไม่มีผลกระทบต่อสถานะทางการเมือง ในกรณีที่หากชนะคดีในชั้นอุทธรณ์
นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า 3.หากคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นมีโทษจำคุก ซึ่งมีการวิเคราะห์ว่าจะนำไปสู่การตัดสิทธิ์ทางการเมือง หรือการตัดสิทธิ์การเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีในอนาคต จะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160(7) ที่ระบุว่ารัฐมนตรี ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุด หรือมีการรอการลงโทษ เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท ซึ่งบทบัญญัตินี้ไม่ได้หมายถึงคนที่เคยกระทำ และมาตรา 98(6) และ (9) หากขณะนั้นต้องคำพิพากษาอยู่ก็ไม่สามารถรับตำแหน่งได้ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 ไม่ได้ตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต หากนายพิธาพ้นโทษ ก็ยังมีคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรี และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีได้ตามกฎหมาย
เมื่อถามว่า หากท้ายที่สุดนายพิธาต้องเข้าสู่กระบวนการ แคนดิเดตนายกหรือรัฐมนตรีแล้วยังมีการตีความหมายมาตรา 160(7) ต่างกันจะต้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า คำชี้แจงในข้อกฎหมายข้างต้น และยืนยันว่านายพิธายังคงเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีได้ แต่ต้องเป็นไปตามกระบวนการหากมีใครยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ