พิษคดีแฟลชม็อบ “อ.เจษฏ์” ฟันธง “พิธา” หมดสิทธิ์นั่งแคนดิเดตนายกฯ-รมต.ในอนาคต
รศ.เจษฏ์ เผย จากคำพิพากษา"พิธา"จำคุก 4 เดือน รอลงอาญา 2 ปี จากคดีแฟลชม็อบ ส่งผลให้นายพิธาไม่สามารถเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีได้ในอนาคต เหตุขัด รธน.60 มาตรา 160(7) ส่วน "ธนาวัฒน์" อดีต กรธ.เชื่อหากพิธาจะชิงนายกฯ กกต.อาจต้องส่งศาลวินิฉัยคุณสมบัติ
วันนี้ ( 5 ก.พ.) จากคำพิพากษาศาลแขวงปทุมวัน คดีแฟลชม็อบ จำคุก 4 เดือนโดยรอลงอาญา 2 ปี ต่อแกนนำพรรคก้าวไกลและคณะก้าวหน้านั้น รศ.เจษฎ์ โทณะวณิก รองศาสตราจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย ในฐานะอดีตที่ปรึกษากรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กรธ. ระบุว่าจะส่งผลให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส. พรรคก้าวไกล ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค จะขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (7) ซึ่งคุณสมบัติตามมาตราดังกล่าวมีความเข้มข้นมากกว่ามาตรา 98 ซึ่งหากในกรณีนี้เมื่อนายพิธาจะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีก็จะมีการพิจารณา คุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160
"ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 ระบุว่าต้องคำพิพากษาให้จำคุกแม้คดียังไม่ถึงที่สุด แม้จะมีการรอลงอาญาก็ตาม ทำให้เป็นรัฐมนตรีหรือเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้แล้ว" รศ.เจษฏ์กล่าว
ส่วนนายธนาวัฒน์ สังทอง อดีต กรธ. ยอมรับว่าจากคำพิพากษาของศาลแขวงปทุมวันวันนี้เรื่องคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีหรือแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของนายพิธาเข้าข่ายรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (7) ซึ่งในอนาคตหากจะมีการโหวตนายกรัฐมนตรีเชื่อว่าจะมีคนยื่นทั้งเรื่องคุณสมบัติกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตีความในประเด็นดังกล่าว
ขณะที่มีรายงานว่าทีมกฎหมายของพรรคก้าวไกล เชื่อว่าจากคำพิพากษาของศาลในวันนี้ จะไม่มีผลต่อการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหรือการเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีของนายพิธา เนื่องจากตามรัฐธรรมนูญบังคับใช้กับผู้ที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในขณะนั้น หากต้องคำพิพากษาก็จะหลุดจากตำแหน่งทันทีตามรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้รัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 160 มันอยากคุณสมบัติของรัฐมนตรีใน (7) ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุด หรือให้มีการรอการลงโทษ เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท