เป็นข่าวดังไปทั่วโลก! เมื่อกุนซือสมองเพชร "เจอร์เกน คล็อปป์" ประกาศว่าจะอำลาสโมสร "ลิเวอร์พูล" หลังจากฤดูกาล 2023-2024 จบลง โดยให้เหตุผลว่า "หมดพลัง" หลังกรำงานหนักแบกรับความเครียดมาตลอดระยะเวลา 9 ปี สร้างทีมหงส์ให้ก้าวขึ้นมาประสบความสำเร็จในระดับสูงเหมือนอย่างในปัจจุบัน

สำหรับประวัติ "เจอร์เกน คล็อปป์" หรือชื่อเต็ม "เจอร์เกน นอร์เบิร์ต คล็อปป์" เกิดเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 1967 ที่เมืองสตุตการ์ท ประเทศเยอรมัน (ตะวันตก) และเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2015 "คล็อปป์" เปิดตัวเป็นกุนซือคนใหม่แห่งถิ่นแอนฟิลด์ แทนที่ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือคนเก่าที่พาทีม "ลิเวอร์พูล" ทำผลงานไม่เข้าเป้าตามที่บอร์ดบริหารหวังเอาไว้ โดฤดูกาลแรก เขาพา ลิเวอร์พูล จบเพียงอันดับ 8 ของตารางเท่านั้น มีแต้มตามหลัง ทีมแชมป์อย่าง เลสเตอร์ ซิตี ถึง 21 คะแนน

ฤดูกาล 2017-2018 เป็นอีกฤดูกาลที่ คล็อปป์ ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงทีมอีกครั้ง โดยช่วงต้นฤดูกาล เขาได้ทุ่มเงินดึงตัว โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่โชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงกับ โรมา มาร่วมทีม รวมทั้ง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน เข้ามาสู่ทีม เท่านั้นไม่พอในช่วงตลาดซื้อขายเดือนมกราคม ทีมยังได้ทำการปล่อยตัว ฟิลิปเป คูตินโญ จอมทัพอันดับ 1 ของทีม ไปให้กับ บาร์เซโลนา พร้อมกันนั้นก็ได้ดึงตัว เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ กองหลังจอมแกร่งมาจาก เซาแธมป์ตัน ด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติโลก อีกด้วย

ฤดูกาลนี้ คล็อปป์ ทำผลงานในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ได้อย่างสุดยอดอย่างมาก พาทีมทะลุเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ ทว่าเขาก็ต้องอกหักอีกครั้ง เมื่อไปพ่ายให้กับ เรอัล มาดริด 1-3 ได้แค่รองแชมป์เท่านั้น ส่วนในพรีเมียร์ลีก ทีมก็จบอันดับที่ 4 เท่าเดิม ทว่ามีแต้มตามหลังทีมแชมป์ อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี ถึง 25 คะแนน เลยทีเดียว

ฤดูกาล 2018-2019 คล็อปป์ เดินหน้าหานักเตะใหม่เข้ามาอีก 4 คน โดยมีชื่อของ อลีสซง เบ็คเกอร์, ฟาบินโญ, นาบี เกอิตา และ เซอร์ดาน ชากิรี เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ให้กับทีม และเมื่อได้อาวุธครบมือ นักเตะเริ่มซึมซับแผนการเล่นของ คล็อปป์ "หงส์แดง" จึงเดินหน้าคว้าชัยชนะ กวาดแต้มเป็นว่าเล่น จนนำเป็นจ่าฝูง มาเกือบค่อนฤดูกาล

ขณะที่ ถ้วยยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ทีมก็ยังทำผลงานได้สุดร้อนแรง ผ่านรอบแบ่งกลุ่ม รอบน็อกเอาต์ จนกระทั่งเข้าชิงชนะเลิศได้อีกครั้ง ทว่า ฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมในบอลถ้วยยุโรปนี้ มันดันไปสวนทางกับฟอร์มการเล่นในลีก ที่ในช่วงท้ายๆ ซีซั่น ทีมกลับเล่นพลาด จนโดน แมนฯ ซิตี ที่กลับมาเล่นได้แน่นอนอีกครั้ง แซงหน้าขึ้นนำเป็นจ่าฝูงแทน และท้ายที่สุด ทัพ "เรือใบสีฟ้า" ก็ไม่พลาดอีกแล้ว เข้าป้ายคว้าแชมป์สำเร็จ ด้วยการมีแต้มชนะ "หงส์แดง" เพียงแค่ 1 แต้ม เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม คล็อปป์ และพลพรรค "หงส์แดง" ก็มาได้รางวัลปลอบใจที่ยิ่งใหญ่สุดๆ เมื่อทีมสามารถ ทุบเอาชนะ สเปอร์ส คู่แข่งร่วมลีก ไปได้แบบสบาย 2-0 ในนัดชิงบอลถ้วยยุโรป คว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ หลังจากที่ต้องผิดหวังเมื่อฤดูกาลที่แล้ว

จนมาถึง ฤดูกาล 2019/2020 ทุกอย่างที่ คล็อปป์ได้วางรากฐาน และสร้างเอาไว้ ก็ออกดอกออกผลอย่างเต็มที่ เมื่อเริ่มการฟาดแข้งศึกพรีเมียร์ลีก ซีซั่นใหม่ขึ้นมา พลพรรคนักเตะ "หงส์แดง" ก็เดินหน้าเก็บชัยชนะอย่างต่อเนื่อง จนทำแต้มนำทีมอื่นๆ แบบขาดลอย และเมื่อผ่านมาถึงครึ่งฤดูกาลทีมก็แทบจะแบเบอร์ว่าคว้าแชมป์แล้ว เนื่องจากแต้มขาดกับอันดับ 2 อย่างมาก

ทว่าในช่วงต้นปี 2020 โลกก็ได้มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เข้ามา ทำให้วงการกีฬาต้องหยุดชะงัก รวมทั้งศึกพรีเมียร์ลีกที่ต้องหยุดแข่งขันไปด้วย

จนกระทั่ง ช่วงกลางเดือนมิถุนายน พรีเมียร์ลีก ก็สามารถกลับมาฟาดแข้งใหม่ได้อีกครั้ง แบบนิวนอร์มอล และ ในคืนวันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน 2563 (ตามเวลาประเทศไทย) แมนเชสเตอร์ ซิตี ที่ตามมาเป็นอันดับ 2 ดันบุกไปพ่ายให้กับ เชลซี 1-2 ทำให้แต้มของ "เรือใบสีฟ้า" ขาดลอย และตามไม่ทันแล้ว ส่งผลให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี