ปากกาขนนก / สกุล  บุณยทัต

“ในความเป็นชีวิตหนึ่ง..เราต่างหวังถึงมุมมองดีๆ ที่จะมีส่วนและเป็นส่วนสร้างเสริมชีวิตให้เป็นสุข...แท้จริงแล้ว  นัยอันลึกซึ้งของความสุขนั้นเริ่มต้นและเกิดจากความคิดของเรานี่เอง..มันคือข้อตระหนักอันจริง.แท้..ของคนเราในทุกช่วง..วัย..ความคิดที่เป็นบวกย่อมเป็นคุณกับชีวิต กระทั่งทำให้ความสุขบังเกิดขึ้นอย่างถาวร..”

นี่เป็นกระแสความคิดหลักอันมีคุณค่า..ผ่านการใช้แรงสั่นสะเทือน ดึงดูดพลังบวกรอบตัว...เพื่อการบรรลุความสุขและเป้าหมายอันยิ่งใหญ่กว่าที่เราคิดฝัน...ที่ปรากฏในหนังสือที่สมควรสัมผัส..จากการเขียนของ “เว็กซ์ คิงส์” (VEX king)นักเขียนหนุ่มชาวอังกฤษเชื้อสายอินเดีย..ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เมื่ออายุ 36 ปี...เขาเป็น “อินฟลูเอนเซอร์ทางอินสตาแกรม” ซึ่งมีผู้ติดตามมากกว่า 1.4 ล้านคน..

ชีวิตของเขาได้เคยผ่านจุดตกต่ำในชีวิต ในวัยเด็กต้องอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายอย่างถึงที่สุด..กระทั่งสามารถฝ่าฟันเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้..แต่ก็เกือบตัดสินใจที่จะไม่เรียนต่อ...ต่อมาเขาได้มีโอกาสทำงานที่ก็ไม่ใช่งานในระดับที่ดีนัก..

แต่ในที่สุดแล้ว..เขาก็ได้พบหนทางแห่งชีวิตที่ดีขึ้น..ได้มีโอกาสเข้าสู่วงการดนตรี และได้เป็นโปรดิวเซอร์..ก่อนที่ต่อมาจะพลิกผันตัวเองออกมาเป็นที่ปรึกษาและไลฟ์โค้ช..จนได้มาเขียนหนังสือเล่มนี้ .และเรื่องนี้ขึ้นมา..หนังสือที่จัดอยู่ในลักษณะnon-fiction..ที่ติดอันดับขายดีเป็นอันดับหนึ่งของหนังสือพิมพ์ “Sunday Times” ในปี 2021..มียอดขายกว่า 1 ล้านเล่ม ..

"...กฎแห่งแรงดึงดูดจะได้ผลก็เมื่อเราคิดบวก เพราะหากเราหมกมุ่นไปกับความคิดเชิงลบ  ผลที่ออกมาก็จะมีแต่เรื่องไม่ดี..ที่จะเกิดขึ้นกับตัวเราเสมอ..

อย่างไรก็ดี..ความพยายามในการคิดบวกตลอดเวลาเป็นเรื่องยาก..เพราะในแต่ละวันเรามักจะเผชิญกับเรื่องที่ไม่คาดฝัน.อันเป็นที่มาที่ทำให้ “คิงส์” เชื่อมโยงไปถึงแรงสั่นสะเทือน พัวพันไปถึงพลังงาน..แรงสั่นสะเทือน และ จักรวาล..ไปจนถึงกลศาสตร์ควอนตัม”

“คิงส์” เกริ่นนำด้วยข้อคิดที่ไม่ได้แตกต่างไปจากคนอื่นที่เคยกล่าวเอาไว้ว่า.. “การรักตัวเอง คือการสร้างสมดุลระหว่างการยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น แต่ก็ต้องตระหนักว่าเรานั้นสมควรที่จะได้รับในสิ่งที่ดีกว่า..และพยายามไปให้ถึงจุดนั้น”

“คิงส์” ได้เล่าเน้นย้ำถึงเหตุการณ์สมัยที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยว่า ..ครอบครัวของเขามีสถานะที่ยากจน ทำให้ไม่สามารถไปเที่ยวกับเพื่อนในช่วงฤดูร้อนได้..แต่แล้วจู่ๆเขาก็ได้รับจดหมายจากกรมสรรพากรว่าจะได้รับเงินภาษีคืน..คิงส์โทรศัพท์ติดตามว่าเมื่อไหร่จะได้รับเงินดังกล่าว..แต่กลับไม่มีคำตอบที่ชัดเจน..จนทำให้เขาเลิกหวังและบอกเพื่อนไปว่า..ให้จองไปเที่ยวกันโดยไม่ต้องรอเขา..จากนั้นเขาก็หันไปสนใจเรื่องอื่นๆ..และทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น..

ในที่สุด “คิงส์” ก็ได้รับภาษีคืนก่อนการเดินทางไม่กี่วัน..ทำให้เขาเกิดความเชื่อสนิทใจต่อกฎแรงดึงดูดที่ว่า.. “หากเรามีความเชื่อว่าสิ่งดีๆจะเกิดขึ้น..สิ่งนั้นก็จะเกิดขึ้นในที่สุด..นั่นหมายถึงว่า..*ความเชื่อของเรา..สามารถทำให้เป็นจริงได้*..”ว่ากันว่า...การจะทำให้ความคิดกลายเป็นสิ่งที่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาจริงไปนั้น..จำเป็นต้องเชื่อมความถี่ในแรงสั่นสะเทือนของสิ่งนั้น คล้ายดั่งคลื่นของสถานีวิทยุ ที่เราตัวรับสัญญาณให้ตรงกับความถี่ของสถานีนั้น..และหากต้องการให้เกิดความรู้สึกดีๆ  ..เราก็ต้องส่งความรู้สึกนั้นออกไป เพื่อจะได้รับกลับมา ผ่านการสั่นสะเทือนที่ตรงกัน..

ดังนั้น..ความเข้าใจที่ว่า “เราจะรู้สึกดี เมื่อเรามีสิ่งนั้น เมื่อมีทรัพสิน เงินทอง  หน้าที่การงานที่ดี หรือ ความรัก แต่ความจริง คือเราสามารถรู้สึกดีได้..ในทุกชั่วขณะ” มีข้อคิดสำคัญที่ผู้อ่านจักได้รับจากหนังสือเล่มนี้..เมื่อตั้งใจที่จะอ่านเพื่อค้นหาประโยชน์สุขที่ชวนใคร่ครวญต่อไป เป็นนัยสำคัญที่จำเป็นต้องตระหนักและรับรู้อย่างลึกซึ้งและชวนพินิจพิเคราะห์ยิ่ง..

...การอยู่ท่ามกลางคนคิดบวก..พวกเขาจะส่งแรงสั่นสะเทือนที่สูงมายังเรา..ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น..ตามรอบๆตัวจะมีแต่ความรู้สึกที่ดี..และนั่นก็หมายถึงว่า..ตัวเราก็จะดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาหาตัวเรา..ตลอดไป../..การรักตัวเองคือการสร้างดุลยภาพระหว่างการยอมรับในสิ่งที่เป็น...ขณะที่เราต่างอยากจะเป็นคนที่ดีขึ้น../จงแสดงความขอบคุณต่อใครๆอยู่..เสมอ..เพราะยิ่งนับความโชคดีมากเท่าไร..ก็ยิ่งมีเรื่องโชคดีให้นับมากเท่านั้น/อย่าลืมที่จะย้อนดูการกระทำของตนเอง..ว่ามีนิสัยใดบ้างที่สร้างพิษร้ายต่อคนอื่นหรือตัวเราเอง/จงโอบกอดและตนเองอย่างไร้เงื่อนไข หมั่นชื่นชมความงามของตนเอง อย่าปล่อยให้มาตรฐานความงามของสังคมมาลดค่าในตัวเรา.. ./อยู่ให้ห่างจากคำนินทาและเรื่องลบๆ/อดีตผ่านไปแล้ว อนาคตก็ยังมาไม่ถึง เพราะฉะนั้น..ไม่มีอะไรที่มีค่าเกินไปกว่าปัจจุบัน/อาหารมีแรงสั่นสะเทือน...จงเลือกอาหารที่ดีที่สุดต่อสุขภาพของตนเอง/ให้อภัยตัวเองในทุกเรื่องที่พลาดพลั้ง เพราะเราเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง และได้รับอนุญาตให้ใช้ชีวิตอยู่ต่อ..ขอเพียงใส่ใจที่จะทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม/จงพูดให้กำลังใจบ่อยๆ/ไม่ว่าจะใช้ชีวิตตามใจเราหรือคนอื่น..เราก็จะถูกดตัดสินอยู่ดี/จงใส่ใจในคำพูดของตนเอง../หากเป้าหมายเป็นจริงในใจ สิ่งนั้นจะเป็นจริงในชีวิตเช่นกัน..ต้องทำจนิตให้มีนัยสำนึก  เมื่อคุณเชื่อ..แล้วจากนั้นลงมือทำ..คุณก็จะก้าวไปถึงฝัน../ชีวิตทดสอบคุณ...ก่อนที่จะให้สิ่งที่ดีกับคุณ เพราะฉะนั้นเก็บความผิดพลาดไว้เป็นบทเรียน..หลังจากนั้น..บทเรียนจะซ้ำรอย เพื่อพิสูจน์ว่าที่ผ่านมาเราได้เรียนรู้แล้วหรือยัง/ในคำกล่าวสำคัญของหนังสือระบุว่า..ชีวิตไม่ได้สู้กับคุณ เพราะคุณอ่อนแอ..แต่ที่มันสู้กับคุณเพราะคุณเข้มแข็ง..มันรู้ว่าถ้าให้ความเจ็บปวดแก่คุณ..คุณจะรู้ซึ้ง ถึงพลังที่ตัวเองมี../

เหล่านี้คือปัญญาญาณ..ที่มีผลต่อปฏิกิริยาตอบสนองในคลื่นแห่งการรับรู้ผัสสะของชีวิตที่ได้รับจากหนังสือเล่มนี้..เป็นการเรียนรู้ที่จะพัฒนาตนเอง..โดยใช้คลื่นพลังบวกดึงดูดพลังสุข..ตามเป้าหมายของหนังสือที่ได้จัดวางไว้อย่าง..รัดกุม..

นี่คือศักยภาพอันแท้จริงของ"เว็กซ์ คิงส์"ในการสร้างเงื่อนไขแห่งชีวิต..จนบรรลุสู่ความสุขและเป้าหมายอันยิ่งใหญ่กว่าที่ใครๆได้ตั้งปณิธานและคิดฝันเอาไว้ ...นี่เป็นส่วนที่ทำให้หนังสือเล่มนี้ขึ้นอันดับขายดีเป็นอันดับหนึ่งของ"Sunday Times Bestseller"..และแปลเป็นภาษาต่างๆถึง 30 ภาษา..

นัยสรุปของหนังสือเล่มนี้..ที่เข้าไปอยู่ในใจคนอ่านอย่างเข้มข้น ในความทรงจำที่สร้างค่าต่อชีวิต..ย่อมเลี่ยงไม่พ้นข้อชี้แนะ..ที่ตอกย้ำให้เราต้องแข็งแกร่ง..พอที่จะยืนอยู่เคียงข้างคนอื่นได้..กล่าวคือ..เวลาที่มีคนกำลังจิตตก..อกหัก หรือเศร้าใจ..เขาเหล่านั้นจะมีเเรงสั่นสะเทือนในเชิงลบจำนวนมาก..ถ้าเราเข้าไปช่วยปลอบโยนหรือช่วยเหลือเขาในขณะนั้น..ด้วยการที่เรามีพลังทางบวกอยู่มาก..ก็อาจจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้นได้..แต่หากนานไป เราก็อาจจะได้รับพลังงานทางลบมาจากเขาได้..เนื่องเพราะเรื่องแบบนี้มันติดต่อกันได้..เราอาจรู้สึกไม่ปกติ  อาจรู้สึกหดหู่..

ดังนั้น..เพื่อที่เราจะได้มีพลังสั่นสะเทือนในเชิงบวกอยู่เสมอ..เราจึงควรที่จะต้องหาเวลาไปอยู่ในที่ที่ทำให้เรารู้สึกดีอยู่บ่อยๆ..ในเวลาอยากจะช่วยให้พลังใจแก่ใคร เราก็จะได้ทำได้โดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียหายอะไรมากนัก..

มีประเด็นที่โยงใยถึง..การพยายามทำให้คนอื่นพอใจ..อาจจะเป็นในสิ่งที่ดีและทำให้เป็นที่ยอมรับได้..แต่เราทำเพื่อคนอื่นมากเกินไป ก็อาจทำให้เวลาส่วนตัวของเราลดน้อยลงไปมาก  จนไม่มีเวลาเป็นของตนเอง และอาจจะทำให้งานของเราเสียหายได้..รวมทั้งเวลาพักผ่อนก็อาจจะไม่พอไปด้วย..เราจึงควรที่จะต้องให้ความสำคัญต่อตนเองบ้าง..อย่างน้อยก็ต้องมีเวลาเป็นของตนเอง  โดยที่ไม่มีใครมารบกวน..และก็ควรที่จะเลิกสนใจความคิดเห็นของสังคมที่มีต่อเราในทางลบด้วย..จะเป็นการดีต่อเรามากกว่า..

ประเด็นสุดท้าย...ต่อข้อสรุปอันเป็นการชุบชูพลังใจแก่ชีวิตที่จะมองข้ามไม่ได้..ก็คือประเด็นของกาพูดถึง “การมีคู่รัก”..เพราะเหตุที่ว่า .ถ้าเรารู้จักการมอบพลังทางบวกให้แก่กัน..ให้เราพยายามชื่นชมคู่ของเราในทุกครั้งที่มีโอกาส..ด้วยใจจริง..ทั้งนี้เพื่อเป็นการช่วยให้อีกฝ่ายอารมณ์ดีอยู่เสมอ..อารมณ์ดีจะทำให้ก่อเกิดพลังบวกให้กับเรากลับคืนมาเช่นกัน..แต่ถ้าชีวิตเอาแต่เฝ้าจับผิดหาเรื่องทะเลาะ..คู่ของเราก็จะเป็นคนสร้างอารมณ์ทางลบให้แก่เราได้...มากกว่าคนอื่นเสียอีก

เหตุนี้..การมองหาสิ่งดีๆ..และเอ่ยชมคู่ชีวิตของเราให้ไดทุกวัน..จึงถือเป็นสิ่งจำเป็น...ที่เราต้องทำให้ได้..

“Good Vibes Good Life” (ใช้คลื่นพลังบวก ดึงดูดพลังสุข ..ถือเป็นหนังสือที่สร้างมวลคลื่นความคิดอันยิ่งใหญ่ต่อสำนึกคิด และจิตปัญญา ของสภาวการณ์แห่งยุคสมัย..ผ่านโครงสร้างของตัวบุคคล..สังคมในวงกว้าง และ บริบทแห่งยุคสมัย..อย่างคว้านลึก..ประสบการณ์ทั้งการกระทำและความคิดของผู้เขียนเต็มไปด้วยความจัดจ้านและทายท้า..ต่อการทุ่มใช้ชีวิต..เราย่อมเห็นข้อเปรียบเทียบแห่งความคิดที่ดีที่สามารถนำไปหลอมรวมความเป็นเอกภาพของชีวิตตัวเองได้..หากได้อ่านหนังสือเล่มนี้อย่างใคร่ครวญและใฝ่ใจที่จะเข้าใจอย่างจริงจัง 12 บทของหนังสือเล่มนี้ดำเนินไปอย่างง่ายงาม..เป็นคำสอนที่สอดทะลุไปถึงเนื้อในแห่งความเข้าใจพลังอันเป็นคุณประโยชน์ของชีวิต..

“พลังความรัก..อันถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในโลก..เราควรที่จะรักทั้งตนเองและผู้อื่น../พลังของการกระทำ อันเป็นสิ่งสะท้อนความคิดและคำพูดของเรา..เราจึงควรลงมือทำแต่สิ่งดีๆ/พลังความคิด..ความคิดของเรามีพลังต่อการสร้างชีวิตของเรา..เราจึงควรเลือกคิดแต่สิ่งดีๆ/พลังของการให้..คือสิ่งที่ทำให้เราเกิดความสุข มีความสุข..มันคือการเติมเต็ม..เหตุนี้..เราจึงควรให้สิ่งดีๆแก่คนอื่น./.และสุดท้าย..พลังของคำพูด..เราควรพูดแต่สิ่งดีๆ..เพราะคำพูดของเราก็ทรงพลังเช่นกัน”

“กษิรา รัตนาภิรัต คุโด” แปลหนังสือเล่มนี้ออกมาได้อย่างเนียนแนบ..เห็นถึงความเข้าใจรายละเอียดอันลึกซึ้งของหนังสือตามนัยความคิดของ “Vex King”..ที่เหมือนจะจัดวางรหัสนัย..ต่อการสืบค้นตีความบางสิ่งบางอย่างอันเป็นส่วนสำคัญแห่งองค์รวมของความคิดเอาไว้เป็นการเฉพาะ..

“จักรวาลมักจะส่งสัญญาณมาให้เราเป็นระยะ/เราต้องหมั่นสังเกตสัญญาณเหล่านั้นให้ดี/เนื่องเพราะ..จักรวาลจะตอบรับแรงสั่นสะเทือนของคุณ และ จะย้อนพลังงานใดๆคืนสู่ตัวคุณ/ดั่งนั้น..จงเชื่อและสังเกตุสัญญาณให้ดี .!”