วันที่ 1 ก.พ.2567 เวลา 12.45 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่การประชุม เพื่อพิจารณาญัตติด่วนขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพ.ร.บ.นิรโทษกรรม

โดยมีน.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นผู้เสนอญัตติว่า  การเสนอตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯดังกล่าว เพื่อศึกษาหลักเกณฑ์และแนวทางที่เป็นสาระสำคัญการนิรโทษกรรมให้ได้ข้อยุติ ก่อนเสนอเป็นร่างกฎหมายต่อสภาผู้แทนราษฎร แม้ในอดีตจะเคยศึกษาแนวทางสร้างความปรองดองสมานฉันท์มาแล้ว โดยคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อสร้างความปรองดองแห่งชาติ(คอป.) แต่บริบทและมูลเหตุความขัดแย้งมีความแตกต่างจากในปัจจุบัน จึงต้องดำเนินการให้สอดคล้องสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ให้มีคนไทยถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนทางกฎหมาย กุญแจที่ปลดโซ่ตรวนคือ การออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรม เป็นจุดเริ่มต้นว่า ทุกคนเห็นต่างขัดแย้งกันได้ภายในกรอบกติกา

แม้การเสนอตั้งกมธ.วิสามัญฯอาจถูกตั้งคำถามเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ผิดแก่ผู้กระทำผิด เป็นการยื้อเวลาของรัฐบาลหรือไม่ และอาจกังวลจะยัดไส้นิรโทษกรรมให้เจ้าหน้าที่รัฐทำผิดกฎหมายต่อผู้ชุมนุม ขอยืนยัน การออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมไม่ใช่การสร้างบรรทัดฐานที่ผิด แต่เป็นการปลดโซ่ตรวนความขัดแย้ง ไม่ใช่ยื้อเวลา เมื่อมีความเห็นต่างจึงต้องตั้งกมธ.เชิญชวนทุกกลุ่มมาหาทางออกอย่างรอบคอบ ไม่ให้เกิดชนวนขัดแย้งครั้งใหม่

“ ในฐานะที่เคยเป็นผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการกระทำที่รุนแรงของเจ้าหน้าที่รัฐ ขอยืนยันในหลักการจะไม่ให้มีการนิรโทษกรรมต่อความผิดที่เกิดแก่ชีวิตโดยเด็ดขาด” น.ส.ขันติยา กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

ด้านนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า การนิรโทษกรรมไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเสมอไป ถ้ามีเป้าหมายชัดเจน เราเคยนิรโทษกรรมมาแล้ว 22ครั้ง ถ้าจะนิรโทษกรรมเพื่อลดความขัดแย้ง ก็คิดว่า ไม่น่ากลัว หรือเป็นภาพลบ และโอกาสที่จะได้รับนิรโทษกรรมไม่ควรถูกผูกขาดให้คณะรัฐประหารหรือคนที่คิดล้มล้างการปกครองอย่างเดียว  เราต้องยอมรับอยู่ในช่วงความขัดแย้งทางการเมืองที่สร้างบาดแผลร้าวลึกในสังคม เป็น10กว่าปีที่สูญหาย ตั้งแต่ปี2549 -2567 มีนายกฯ 7คน  รัฐประหาร 2ครั้ง มีม็อบต้านรัฐบาล 9ระลอก คนตายเป็นร้อย บาดเจ็บเป็นพัน เศรษฐกิจเสียหายเป็นแสนล้านบาท 

 

ด้าน นายอรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทรา พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐสนับสนุนญัตตินี้ เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง หาทางออกให้ประเทศ จุดยืนของพรรคต่อการนิรโทษกรรมมี 4 ข้อคือ1.ไม่นิรโทษให้บุคคลใดบุคคลหนึ่ง 2.ไม่นิรโทษกรรมให้บุคคลใดที่ทำผิดกฎมหายร้ายแรง เกิดความเสียหายแก่ชีวิต ทรัพย์สิน ระบอบการปกครอง 3.การนิรโทษกรรม ถ้าจะเกิดขี้น ต้องเป็นความเห็นชอบจากทุกฝ่าย ทุกสี ไม่เพิ่มความขัดแย้ง 4.ไม่เห็นด้วยการนิรโทษกรรมคนที่ทำผิดมาตรา112 เราไม่เอา

"ที่ผ่านมาทุกม็อบ ทุกสีเสื้อ ล้วนทำผิดกฎหมาย แต่ต้องมาดูใครทำผิดมาก และใครอยู่เบื้องหลังทำผิดจริงๆ พวกนี้ยกโทษให้ไม่ได้ แต่พวกวัยรุ่นที่ไปปร่วมด้วยอุดมการณ์ วันรุ่งขึ้นกลับอยู่ในคุก เจอหมาย ถูกตัดอนาคต จึงควรเปิดโอกาสหาทางออกให้นักชุมนุมที่ไม่มีความผิดหรือความผิดน้อย  ทุกการชุมนุมน้องๆที่มีอุดมการณ์ ไม่ได้เป็นคนเริ่ม แต่มีผู้นำลัทธิอยู่เบื้องหลัง แต่บางครั้งอุดมการณ์ไม่ได้เป็นทางออกในทุกเรื่อง"นายอรรถกร กล่าว

จากนั้นสมาชิก สส.ฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ได้ลุกขึ้นอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง