หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ขายข่าวขายความจริงให้ประชาชนคนไทยได้อ่านมาอย่างต่อเนื่องยาวนานที่สุดในประเทศไทยฉบับนี้ ประจำวันพุธที่ 31 มกราคม พ.ศ.2567 การเมืองที่เห็น ไม่ใช่อย่างที่เป็น ...*...
การพบกัน ระหว่าง สองผู้แทนอภิมหาอำนาจของโลก คือ นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน กับ นาย เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐอเมริกา เมื่อวันศุกร์เสาร์ที่ผ่านมา เพื่อ เจรจาลดความขัดแย้งกันระหว่างจีน-สหรัฐฯ โดยกำหนดสถานที่ กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของไทย เป็นสถานที่เจรจา เท่ากับ ยอมรับ ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศเป็นกลาง ให้โลกเห็นว่า ประเทศไทยเป็นมิตรกับทุกฝ่าย ตามนโยบายของรัฐบาลที่เคยแถลงไว้ต่อรัฐสภา ...*...
อเมริกา กับ จีน ต่างเป็น ประเทศอภิมหาอำนาจของโลก ที่ มีความขัดแย้งกันมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ การเมืองการปกครองในอดีต จนกระทั่งมาถึง การแข่งขันกันทางการค้าในปัจจุบัน และ ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ ระหว่าง ทัพเรือจีน กับ ทัพเรือสหรัฐฯ ที่เกิดจาก ปัญหาจีนไต้หวัน ที่ สหรัฐฯให้การสนับสนุนไต้หวัน ในขณะที่ จีนถือว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน ประสา บารอน ได้แต่ภาวนา ขอให้การเจรจาเริ่มต้นไปด้วยดี เพราะ จะเป็นการนับหนึ่งของความสงบสันติสุขของมวลมนุษยชาติอีกครั้ง หลังจาก นายเฮนรี่ คิสซินเจอร์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นผู้บุกเบิกความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ เมื่อ กว่า 5 ทศวรรษที่ผ่านมา ...*...
ประวัติศาสตร์ไม่ได้เขียนไว้ ก่อนประตูความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯจะเปิด สหรัฐอเมริกาต้องมาขอให้ นายสังข์ พัฒโนทัย มือโปรปะกันดาคนใกล้ชิด จอมพล ป. พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้มีความใกล้ชิดกับรัฐบาลจีน เพราะ สังข์ พัฒโนทัย เห็นความสำคัญของจีนว่า ภายภาคหน้าจะต้องเป็นประเทศอภิมหาอำนาจของโลก ถึงกับ ลอบส่งลูกชาย-ลูกสาว คือ ด.ช.วรรณไว พัฒโนทัย กับ ด.ญ.สิริน พัฒโนทัย (แดง) เจ้าของบทประพันธ์ละครทีวี ที่โด่งดังในอดีตเรื่อง มุขมังกร ไปศึกษาที่กรุงปักกิ่ง เป็นบุตรบุญธรรม ของ นายโจว เอนไหล นายกรัฐมนตรีจีนในขณะนั้น เป็นผู้ประสานงานขอเปิดความสัมพันธ์กับจีน...*...
เพราะงั้น บารอน ถึงไม่แปลกใจ เหตุใด? นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ถึงเลือกกรุงเทพฯ เป็น เวทีกลางเจรจา มาจาก ความสัมพันธ์ไทย-จีนอันยาวนาน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั่นเอง ใช้การเยือนไทย ในฐานะแขกเมืองของ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีต่างประเทศ เพื่อพบปะ กับ นายเจค ซัลลิแวน ในวันศุกร์วันเสาร์ที่ผ่านมา ก่อนที่จะไปพับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ...*...
ก่อน นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน จะบินกลับจีน ได้มีการลงนามข้อตกลงฟรีวีซ่าไทย-จีน กับ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รัฐมนตรีต่างประเทศไทย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ศกนี้ และที่ต้องชม นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ใช้โอกาสนี้ ขอให้จีนส่งหมีแพนด้าให้ไทย เป็นทูตสันถวไมตรี ซึ่ง นายหวัง อี้ รับปาก จะไปดำเนินการให้...*...
เหลียวดู การเมืองไทย หลายๆความเคลื่อนไหว ดูแปลกๆ ทำให้ บารอน มองการเมืองไทยในปัจจุบัน ไอ้ที่เห็น ไม่น่าจะใช่อย่างที่คิดว่าจะเป็น ตั้งแต่ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ในคดี ถือหุ้นสื่อไอทีวี 42,000 หุ้น ของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล เมื่อวันพุธที่แล้ว ผิดในข้อกฎหมาย 3 ข้อ แต่ ถูกในข้อเท็จจริง ข้อที่ว่า ไอทีวีไม่ได้เป็นสื่อ ตั้งแต่ปี 2550 แล้ว จึงยกคำร้อง คืนสิทธิ์ความเป็น สส.ให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ...*...
มาวันนี้ ได้ลุ้นอีกที ว่า คำวินิจฉัยของ 9 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เรื่อง คำร้อง ของ นายธีรยุทธ สุวรรณเกสร ทนายความอดีตพุทธะอิสระ กล่าวหา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ในฐานะ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในขณะนั้น เสนอร่างแก้ไขยกเลิก ม.112 และ ใช้เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง อันถือได้ว่า เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข จะออกประตูไหน ผิดตามคำร้องหรือไม่ ? ...*...
บรรทัดนี้ บารอน ย้อนหลังไปดู คำวินิจฉัยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ที่มีผู้ร้องว่า นายอานนท์ นำพา และพวก ร่วมกัน เรียกร้องให้แก้ไข ม.112 เช่นกัน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไว้ว่าเป็นการล้มล้างการปกครองฯ ด้วย มติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 โดย ให้ผู้ถูกร้องยุติการกระทำ และ กำหนดเป็นข้อห้ามไม่ให้ผู้ใด หรือพรรคการเมืองใดนำไปเป็นนโยบายหาเสียงหรือนำไปสู่การเสนอร่างกฎหมายเข้าสภาฯ ...*...
ครับ องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 ท่าน ในปัจจุบัน ยังคงเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอยู่ถึง 8 ท่าน เกษียณไปหนึ่งท่าน ประวัติศาสตร์จะย่ำรอยเดิมหรือไม่ วันนี้ก็รู้แล้วครับ แต่ ไม่น่าจะมีการยุบพรรค เพราะ ผู้ร้อง ขอให้ลงโทษตาม ม.49 คือ ให้ยุติการกระทำเท่านั้น เรื่องยุบพรรคต้องรอดาบสอง ต้องไปร้องต่อ กกต. คงอีกนานครับ
ที่มา:บารอน (31/1/67)