"เจพีมอร์แกน" คาดเศรษฐกิจไทยปี 67 แตะ 3.7% สูงกว่าค่าเฉลี่ยจีดีพีทั่วโลกครั้งแรกรอบ 5 ปี มั่นใจหุ้นไทยรีบาวด์ 1,700 จุดสิ้นปีนี้ ขณะที่ "ซิตี้แบงก์" มองเศรษฐกิจเอเชียปี 67 ทยอยฟื้นตัว ด้านไทยจีดีพีโต 3.6%
เมื่อวันที่ 25 ม.ค.67 นายมาร์โค สุจริตกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ เจพีมอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เจพีมอร์แกนคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 67 หรือจีดีพีปีนี้ขยายตัว 3.7% ไม่นับรวมเงินดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งถือเป็นการเติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยจีดีพีทั่วโลกครั้งแรกในรอบ 5 ปี
ส่วนตลาดหุ้นไทยจะฟื้นหลังจากนี้คาดสิ้นปี 67 จะอยู่ที่ 1,700 จุด จากปัจจุบันอยู่ที่ใกล้ 1,400 จุด เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะมีเงินทุนไหลเข้าหลังจากฐานที่ต่ำ การส่งออกและการท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวดี รวมถึงดอกเบี้ยสหรัฐที่จะลดลง ส่วนดอกเบี้ยไทยจะลดลงช้ากว่าประเทศอื่น ทำให้เป็นโอกาสการลงทุนของต่างชาติ
ด้านดอกเบี้ยธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) คาดว่าจะปรับลดลงได้ในปีนี้ 1 ครั้งและอาจปรับลดลงเร็วกว่าที่ตลาดคาดไว้ในครึ่งปีหลังปีนี้ เนื่องจากเงินเฟ้อไทยเริ่มปรับลดลงมา ซึ่งการปรับลดดอกเบี้ยของธปท. มองว่าไม่ได้เป็นแรงกดดันมาจากรัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีที่มีการเรียกร้องว่าดอกเบี้ยปัจจุบันสูงเกินไป เพราะถ้าดูที่ผ่านมาธปท.มีคณะกรรมการที่มีความเชี่ยวชาญและไม่ได้ถูกแทรกแซงจากรัฐบาล
เรื่องดอกเบี้ยคิดว่าแบงก์ชาติ ค่อนข้างระมัดระวัง ตอนนั้นไม่ได้ขึ้นดอกเบี้ยทันทีที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดขึ้นดอกเบี้ย ถ้าดูย้อนหลังเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อปกป้องประชาชน แต่ถ้าจะลดดอกเบี้ยก็อาจช้ากว่าคนอื่น ก็จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องอยู่แล้ว
นายมาร์โค กล่าวว่า ปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นและเศรษฐกิจไทย ยังมาจากมาตรการฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนและอินเดีย ทำให้ต่างชาติเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น และยังทำให้ช่วยภาคธุรกิจในไทยได้ด้วย อย่างไรก็ตามการที่ประเทศจีนมีปัญหา ทำให้ต่างชาติไม่นำเงินไปลงทุน ส่งผลดีต่อตลาดอาเซียนและไทยที่ต่างชาติเห็นโอกาสการลงทุนตลาดนี้เพิ่ม โดยอาเซียนและไทยมีความแข็งแกร่ง ความเชื่อมั่นดีขึ้น เช่น นโยบายลดภาษีไวน์ ส่งผลดีทำให้ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ และต่างชาติยังรอนโยบายรัฐบาลอื่นๆตามมาอีก
สำหรับกลุ่มที่น่าลงทุนในตลาดหุ้นยังคงเป็นกลุ่มธนาคาร แม้ผลประกอบการล่าสุดออกมาไม่ดีนัก และกลุ่มเกี่ยวกับการบริโภค รวมถึงผูกกับภาคการท่องเที่ยว โดยยังต้องจับตาการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่เดือน พ.ย.67 ว่าใครจะได้ จากปัจจุบันมีคะแนนเสียงว่านายโดนัลด์ ทรัมป์จะกลับมาครองตำแหน่งนี้อีกครั้ง
มองว่าถ้าทรัมป์เข้ามาดีต่อตลาดสหรัฐตลอด จะดีสำหรับภาพพจน์เศรษฐกิจโลก แต่ต้องดูนโยบายทรัมป์กับเอเชีย เช่น จีน มาตรการกีดกันการค้าเป็นอย่างไร เพราะไทยเป็นตัวกลาง แต่ค่อนข้างสนิทกับจีน ไปเลือกฝ่ายไหนไม่ได้ ถ้าทรัมป์มีปฏิกิริยากับจีน จะทำให้เงินลงทุนไปสู่ตลาดอาเซียน ไทย สิงคโปร์ หรือแม้แต่ฟิลิปปินส์ จะได้อานิสงส์จากตรงนี้
ขณะที่ นางสาวโจฮันน่า ฉัว หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและตลาดเอเชียแปซิฟิก ธนาคารซิตี้แบงก์ กล่าวว่า "ภาพรวมเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกปีนี้ จะปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนหน้า จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนมิถุนายน 2567 ที่ระดับ 0.25% และคาดว่าตลอดปีจะลดดอกเบี้ยทั้งหมด 5 ครั้ง ที่ระดับ 1.25% ขณะที่ธนาคารกลางในเอเชียจะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่น้อยกว่า ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐอเมริกาและเอเชียน้อยลง ส่งผลให้เงินลงทุนไหลเข้ามาในภูมิภาคนี้มากขึ้น ขณะเดียวกันจะเริ่มเห็นความต้องการสินค้าโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลจีน ทำให้เศรษฐกิจในภูมิภาคทยอยฟื้นตัว สำหรับ GDP ของประเทศจีนในปี 2567 จะเติบโตที่ 4.6% ขณะที่ GDP ประเทศอินเดียเติบโตที่ 7%"
ส่วนทางด้าน นางสาวนลิน ฉัตรโชติธรรม นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปี 2567 จะเติบโตอยู่ที่ 3.6% จากการบริโภคภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ภาคการส่งออกที่ฟื้นตัว 3.3% จากปีก่อนหน้าจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูงจะเป็นปัญหาทางโครงสร้างที่สำคัญของเศรษฐกิจไทย ด้านภาคการท่องเที่ยวยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวราว 35.2 ล้านคน และเพิ่มเป็น 41 ล้านคนในปี 2568 ซึ่งตัวเลขดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงตามจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เพิ่มขึ้นหลังเศรษฐกิจฟื้นตัว สำหรับเทรนด์การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่โดดเด่น ได้แก่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ