เมื่อวันที่ 25 ม.ค.67  นายแก้วสรร อติโพธิ ได้เผยแพร่บทความเรื่อง “ช่องทางประพฤติมิชอบ โดยอาศัยการครอบครองข้อมูลของทางการ” มีเนื้อหาดังนี้

ทุกวันนี้ช่องทางหากินโดยมิชอบ จากข้อมูลที่ทางการครอบครองอยู่ดูจะซับซ้อนกว้างขวางขึ้นทุกวัน   ยิ่งถ้าคนไทยอายุเกิน ๑๖ ปี  กว่า   ล้านคน ต้องไปยอมให้ข้อมูลส่วนบุคคลรวมไว้ในระบบแจกเงินดิจิตอลของรัฐบาลด้วยแล้ว  กรณีก็ยิ่งจะน่าเป็นห่วงมากๆ   เพื่อให้ตื่นรู้ถึงปัญหาดังกล่าว ผมก็ขอนำปัญหาที่ผ่านพบมาเสนอเป็นตัวอย่างบ้าง สักสองกรณี คือ

แก๊งค์คอลล์เซนเตอร์

การหลอกลวงของแก๊งค์นี้  อาศัยข้อมูลในครอบครองทางการได้มากมาย  ที่โดนกันบ่อยคือข้อมูลผู้ใช้น้ำ ใช้ไฟ ของการประปาและการไฟฟ้า  ล่าสุดก็ก้าวล้วงลึกเข้าไปถึงข้อมูลใบคำขอจดทะเบียนการค้า  ที่ไปยื่นขอจดทะเบียนบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนเลย   ใครที่ไปยื่นขอกับทางการไว้ ๓ วันแล้วมีโทรศัพท์ มาซักถาม มาให้กดยืนยันข้อมูลใด  เกือบร้อยทั้งร้อยจะไม่สงสัยไม่ฉุกใจคิดอะไรกันเลย   โดนจนเกลี้ยงบัญชีไปหลายคนแล้ว 

ตัวอย่างที่อุกอาจมากๆ  สดๆซึ่งหน้าจริงๆ ก็มีกรณีไปจดทะเบียนที่ดิน รับบัตรคิวรอเวลาแล้วว่าก่อนเที่ยงได้จดแน่ๆ   ก็เลยไปนั่งกินกาแฟรอเรียกอยู่ข้างล่าง พอมีโทรศัพท์บอกช่วงเวลาที่จะถึง แล้วขอให้กดยืนยันว่าจะไปหาได้แน่ๆ     พอใครกดตอบกลับไปว่า “โอเค ”ครับ  เงินก็หมดบัญชีเลย

ข้อมูลอาชญากรรมข้ามชาติ

ตัวอย่างกรณีแก๊งค์คอลล์เซนเตอร์ข้างต้นนั้น    เจ้าหน้าที่จะรู้เห็นหรือไม่ก็ยังไม่แน่ชัด อาจเก็บข้อมูลไว้ไม่ดีจนคนร้ายเข้าถึงได้ง่ายๆ ก็เป็นได้     แต่ในกรณีข้อมูลอาชญากรรมข้ามชาติ  ที่มีการส่งผลการสืบสวนเส้นทางการเงินของผู้ร้ายต่างชาติ มายังทางการไทย ว่ามีส่งเข้ามาในบัญชีธนาคารบัญชีใด ของธุรกิจใดในไทยด้วยนั้น   ข้อมูลแบบนี้ เจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมเลวๆ ที่เข้าถึงข้อมูลนั้น   ได้  ก็สามารถจะนำข้อมูลไปใช้สร้างกระบวนการรีดไถได้ไม่ยากเลย    ดังตัวอย่างที่เพื่อนนักธุรกิจโรงแรมได้เล่าให้ผมฟัง เมื่อเดือนที่แล้ว ดังนี้

ตัวอย่างที่ ๑

เมื่อไม่นานมานี้ เพื่อนผมอยู่ดีๆ ก็เบิกเงินในบัญชีธนาคารไม่ได้   สอบถามดูธนาคารก็แจ้งว่าตำรวจ สน.นี้ได้แจ้งอายัดบัญชีไว้ แถมยังให้เบอร์โทรศํพท์ไว้ด้วย   ครั้นพาทนายความไปพบนายตำรวจคนนี้ก็อธิบายว่า  มีนักธุรกิจในเขต สน.มาแจ้งความว่าถูก จีนเทาที่พม่าชื่อ  “ฉี่ฉุย” (นามสมมุติ)  ฉ้อโกงไป ๙ ล้าน   เมื่อติดตามเส้นทางเงินพบว่า   มีเงินไหลจากบัญชีม้าในเส้นทางเงินนายฉี่ฉุยนี้ ไหลเข้าบัญชีเพื่อนผม ๕ แสนบาท    ครั้นเราโต้แย้งว่าเราไม่รู้เรื่องอะไรด้วย แล้วยิ่งไปกว่านั้นเงิน ๕ แสนบาท  แล้วมาอายัดเงินในบัญชีเป็น ๑๐ ล้านอย่างนี้ได้อย่างไร   แต่ทั้งตำรวจกับทนายความ ที่อ้างว่าแทนผู้เสียหายก็ไม่รับฟัง   บอกให้แสดงความบริสุทธิ์ด้วยการไปตามนายฉี่ฉุยมาเจรจาเท่านั้น

เมื่อเพื่อนผมกลับไปตรวจสอบก็พบว่า   นายฉี่ฉุยนี้  เป็นลูกค้าที่กำลังจะมาจัดงานแต่งงานที่โรงแรมในสองอาทิตย์ข้างหน้า  เงิน ๕ แสนบาทนั้น  เป็นมัดจำที่จ่ายเราจึงเจรจาว่าให้ไปพบตำรวจกับทนายความ หาทางจัดการให้ยกเลิกอายัดเสียก่อน  ไม่เช่นนั้นเราคงจัดงานให้ไม่ได้  เพราะได้เงินมาก็จะถูกอายัดอีก

ด้วยความอับจนที่ต้องจัดงานแต่งงานให้ได้ตามที่เตรียมไว้   ฉี่ฉุยจึงได้ส่งคนไปเจรจา แล้วยอมจ่ายเงินให้ไป ๕ แสนบาท  การปลดอายัดบัญชีจึงได้เกิดขึ้น  งานนี้ผมฟังแล้วก็เชื่อชัดว่า   คดีฉ้อโกงอะไรนั่นต้องกุขึ้นแน่ๆ แค่ความผิดส่วนตัวโกงกันในไทย แล้ว สน.ไทยจะข้ามไปตรวจเส้นทางเงินจากพม่าเข้ามาไทยได้อย่างไร  เรื่องจริงๆนั้น  ก็ต้องมาจากข้อมูลที่ติดตามเงินกันมาในระดับสากลแล้วส่งมาตำรวจไทยก่อน  จากนั้นเมื่อพบว่าเงินวิ่งมาหยุดที่ธุรกิจใด จึงเอามาแต่งเรื่องอายัดบัญชี รีดไถกันไปง่ายๆ ในที่สุด

งานนี้เพื่อนผมไม่เสียหายอะไร และไม่คิดจะร้องเรียนอะไรกับใครด้วย  ผมอาสาจะลุยให้เอง เขาก็ไม่อยากมีเรื่อง เราก็ได้แต่บอกไปทางธนาคารใหญ่เท่านั้นว่า  ช่วยดูแลลูกค้าด้วย ตำรวจจะอายัดบัญชีก็ต้องขอทราบข้อมูลเหตุผล และอายัดในจำนวนที่สมเหตุสมผลด้วย ไม่ใช่มั่วอายัดกันทั้งบัญชีแบบนี้

ตัวอย่างที่ ๒

มาต้นปีใหม่นี้ ท่าทางเพื่อนผมอาจจะงานเข้าอีกแล้วก็ได้  เพราะเริ่มได้รับการสอบถามด้วยความเป็นห่วงจากคนที่เคยรู้จักว่า  ขณะนี้มีพนักงานอัยการท่านหนึ่งกำลังทำคดีด้วยความสนใจว่า มีเศรษฐีตุรกีคนหนึ่งมาร่วมลงทุนกับเราด้วยใช่หรือไม่  เรามีอะไรจะเจรจาบ้างไหม

เพื่อนผมฟังแล้วก็รีบมาปรึกษาผมทันที คุยกันก็ได้ข้อมูลว่าเศรษฐีตุรกีคนนี้ไม่ใช่คนมาร่วมลงทุนอะไรกับเรา   เพราะเขาเข้ามาร่วมโครงการพัฒนาวิลล่ารีสอร์ทเท่านั้น  โดยเขาจะทำสัญญาเช่าที่ดินของบริษัทก่อน แล้วจะมีการลงทุนสร้างวิลล่าหรูขึ้นด้วยเงินของเขาเองอีกชั้นหนึ่ง   เมื่อสร้างเสร็จเราก็จะเปิดให้นักท่องเที่ยวระดับเศรษฐี เช่าเข้าพักแล้วส่งเงินรายได้ให้เขาเป็นปีๆไป   โดยสัมพันธ์อย่างนี้ แม้จะมีเงินวิ่งไปมา ก็หาใช่การร่วมลงทุนร่วมได้เสียอะไรกันในทางธุรกิจแต่อย่างใดไม่  

ได้ความข้างต้นเช่นนี้แล้ว ผมก็บอกเพื่อนไปว่าในทางกฎหมายมันไม่อาจมีใครมาอายัดอะไรเราได้   โดนเมื่อไหร่คราวนี้ก็ต้องสู้กัน

ตัวอย่างสองเรื่องข้างต้นนี้  ผมสอบถามพรรคพวกแล้วว่า มันเกิดอะไรขึ้น  ก็ได้ความว่ากำลังมีแก๊งค์ตำรวจ – อัยการ  ร่วมมือกัน  ใช้ข้อมูลเส้นทางเงินอาชญากรรมข้ามชาติ หาประโยชน์รีดไถชาวบ้านกันมากขึ้นเรื่อยๆ   คดีแบบนี้ ดีเอสไอ น่าจะเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจขุดคุ้ยปราบปรามได้โดยตรงทีเดียว    แต่พอผมคุยกับเพื่อนแล้ว เขาก็ปฏิเสธเหมือนเดิมว่า  ราชการไทยนั้นคนดีๆขึ้นมาในระดับสูงยืนเป็นหลักให้พึ่งพาได้ยากมากๆ ถ้าไม่เลวจริงขึ้นมาไม่ได้หรอก  

ผมก็เลยต้องเงียบไป ได้แต่เขียนบอกกล่าวมาให้ทราบทั่วกันเท่านั้นว่า   ใครมีธุรกิจกับต่างชาติให้คุยกับธนาคารให้ดีๆ อย่ายอมให้อายัดบัญชีมั่วๆเป็นอันขาด   ข้างสมาคมธนาคารไทยเองก็ควรจะรับไปพูดคุยทำความเข้าใจกันไว้ด้วยก็จะดีมากๆ ผมว่าหนทางนี้ภาคเอกชนไทยน่าจะยังคงมีคนดีให้พึ่งพา รู้จักทุกข์ร้อนแทนชาวบ้านได้   บ้าง  เพราะคนเลวๆ น่าจะเปลี่ยนทางไปเล่น ไปลงทุนทางการเมืองเป็นอันมากแล้ว

ในอนาคตข้างหน้า ถ้าคนพวกนี้ได้ข้อมูลคนไทยทั่วประเทศจากโครงการเงินดิจิตอลเมื่อไหร่  รับรองทั้งการเมืองและการค้าบ้านเรา ชิบหายแน่ๆ