"เศรษฐา" ไม่ยืนยันเอกสารหลุด ระบุจีดีพีโตเพียง 1.8% ขอให้รอแถลง ชี้"ผู้ว่าธปท." บอกเศรษฐกิจไทย ยังไม่วิกฤติ เป็นความเห็นต่าง เผยหามาตรการกระตุ้นตลอดเวลา ไม่ได้มีแค่ดิจิทัลวอลเล็ต ขณะที่ "IMF" เพิ่มคาดการณ์จีดีพีไทยปี 67 เป็น 4.4% จากเดิม 3.6% 

 ที่โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 24 ม.ค.67 เวลา 10.00 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวถึงกรณีมีเอกสารลับหลุด ซึ่งประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2566 และปี 2567 ของกระทรวงการคลัง โดยระบุว่าจีดีพีของไทยในปี2566 เติบโตเพียง 1.8 เปอร์เซ็นต์ ว่า ขอให้มีการแถลงอย่างเป็นทางการก่อน ยังไม่ยืนยันข้อมูล แม้ว่าตนจะเป็นรมว.คลัง ตนก็ไม่เคยขอเบิกเอกสารอะไรมาดูก่อน ทางด้านสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ก็มีอิสระในการทำตัวเลขอยู่แล้ว ต้องให้เกียรติกับทางผู้อำนวยการสศค.ด้วย


 ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการพิจารณามาตรการอื่นเพื่อเข้ามากระตุ้นหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า พิจารณาอยู่ตลอดเวลา ตนไม่อยากสร้างวาทกรรมใหม่ว่าเศรษฐกิจวิกฤติหรือไม่ เพราะยืนยันตลอดเวลาว่าเศรษฐกิจไม่ดี เมื่อถามถึงกรณีที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศว่าเศรษฐกิจของไทยยังไม่มีวิกฤติ นายเศรษฐา กล่าวว่า "เป็นเรื่องของท่านที่พูดไป เป็นความเห็นต่าง เป็นธรรมดาของสังคม"

 เมื่อถามว่า การที่เศรษฐกิจโตตํ่าจึงมีความกังวลจากภาคเอกชนว่าจะเกิดการลดดอกเบี้ย และอยากเห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องถามธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้งนี้รัฐบาลคิดเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่ตลอดเวลา และมั่นใจว่าจะมีนโยบายอื่นที่คลอดออกมาด้วย ไม่ใช่แค่เรื่องดิจิทัลวอลเล็ต เมื่อถามย้ำว่า ได้พูดคุยกับทางสศค. ในการศึกษาเรื่องนี้เพิ่มเติมหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า "เราพูดคุยกันตลอดเวลา พูดคุยกันทุกเรื่อง ทั้งเรื่องมาตรการกระตุ้นภาษี และอีกหลายอย่าง"

 เมื่อถามว่า การที่ขณะนี้นโยบายการเงินการคลังไม่สอดประสานกัน อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน นายเศรษฐา กล่าวว่า มีเห็นต่างบ้าง แต่เชื่อว่า สศค.และธนาคารแห่งประเทศไทย มีการคุยกันตลอด ความเห็นต่างเป็นธรรมดาของการอยู่ร่วมกัน ส่วนจะให้เห็นด้วยกันได้หรือไม่นั้นต้องพูดคุยกัน ทุกคนมีหน้าที่ ตนก็มีหน้าที่หามาตรการกระตุ้นการคลัง

 วันเดียวกัน กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF)ประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยปี 2566 ว่า IMF ได้ติดตามและประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยของประจำปี 2566 โดยรวม มีมุมมองที่สอดคล้องกับทางการไทยต่อแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังฟืนตัว แม้จะชะลอลงบ้างจากการดำเนินนโยบายการเงินเข้มงวดของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก การปรับเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2566 จะขยายตัวที่ประมาณ 2.5% และคาดว่าในปี 2567 จะเร่งขึ้นเป็น 4.4% (กรณีรวมผลมาตรการ Digital Wallet) จากการพื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและการบริโภคภายในประเทศที่เติบโตต่อเนื่อง สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไป คาดว่าจะอยู่ที่ 1.3% และ 1.7% ในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในกรอบเป้าหมายของธปท.

 นอกจากนี้ IMF แนะนำให้ทางการไทยให้ความสำคัญกับการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการลดทอนผลกระทบจากการแบ่งขั้วทางภูมิเศรษฐศาสตร์ (geo-economic fragmentation) รวมทั้งสนับสนุนการเพิ่มผลิตภาพ (productivity) โดยเฉพาะการเพิ่มพูนทักษะแรงงาน การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ ตลอดจนการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและปรับ กฎเกณฑ์ทางธุรกิจให้เหมาะสม เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ตามศักยภาพ