“จตุพร”ประเมินเวลาวิกฤตขยับใกล้มาถึง เชื่อหักดิบดีลแลกนักโทษกลับบ้านเป็นชนวน และคือความโง่ในสิ่งที่คิดว่าฉลาดสุด ฟาดแรงเอากระบวนยุติธรรมไปแลกให้คนเดียวได้ประโยชน์แต่ประเทศพังยับ ชี้ สว.ก่อหวอดซักฟอก งบ 67 ถูกดอง สัญญาโครงการไม่เป็นจริง ดิจิทัลทำไม่ได้ถูกองค์กรอิสระขวาง ทุกสิ่งสะท้อนเวลาทวงดีลก่อปะทุแรงขึ้นช่วง กุมภา-มีนานี้ อย่ากระพริบตา
เมื่อ 22 ม.ค. 2567 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า... เวลาขยับเข้าใกล้การแสดงถึงความโง่ที่สุดของการดีลเพื่อคนเดียวได้ประโยชน์ไม่ต้องติดคุก แต่ประเทศเสียหาย และกระบวนการยุติธรรมของบ้านเมืองเสื่อมทรุดพังยับเยินเริ่มกลายเป็นชนวนก่อวิกฤตไปสู่ความเปลี่ยนแปลงใหม่ในไม่ช้านี้
อีกทั้งกล่าวว่า การกลับบ้านของทักษิณ ชินวัตร แบบไม่ติดคุกสักวันจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่ใช่การดีลกัน แม้ขณะนี้หลายฝ่ายคาดกันว่ารัฐบาลจะอยู่ยาวเกินกว่า 11 พ.ค. 67 ซึ่ง สว.จะครบวาระ พร้อมเสนอแผนให้พรรคเพื่อไทยก้าวข้ามไปจับมือกับพรรคก้าวไกลตั้งรัฐบาลใหม่แทนที่ก็เป็นเพียงจินตนาการเพื่ออยากอยู่รอดเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ถ้าคนออกแบบดีลไม่มีของอยู่ในมือเป็นเกราะป้องกันข้อตกลงแล้ว คงไม่กล้าตัดสินใจให้ทักษิณกลับบ้านและไฟเขียว สว.ฝ่ายพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่งตั้งไปโหวตหนุนนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ เมื่อ 22 ส.ค. 66 แน่นอน
อีกทั้งกล่าวว่า แม้ในดีลได้เศรษฐา เป็นนายกฯ และทักษิณกลับบ้านไม่ต้องติดคุกสักวัน ปล่อยให้พักอยู่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ โดยอ้างป่วย ซึ่งสังคมสงสัยว่าจริงหรือไม่ แต่ต้องแบกความกดดัน อับอาย ถูกประณามเป็นอภิสิทธิ์ชน สองมาตรฐาน แล้วยังย่ำยีกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นความเสียหายของประเทศ สิ่งนี้ล้วนมาจากการดีลกันเพื่อนักโทษคนเดียวได้กลับบ้านทั้งนั้น
พร้อมย้ำว่า สว.ลงชื่อเปิดอภิปรายทั่วไป โดยมี สว.จำนวนหนึ่งที่เคยโหวตนายเศรษฐา เป็นนายกฯ ลงชื่อร่วมอภิปรายฯ ด้วย จึงแสดงถึงความผิดปกติอย่างยิ่ง และสะท้อนว่า ทักษิณ กลับบ้าน ได้นายเศรษฐา เป็นนายกฯ เป็นส่วนหนึ่งในหลักประกันจากการดีลกันทั้งสิ้น "สิ่งเหล่านี้ ผมเห็นว่า จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ประชาชนจะได้ประโยชน์อย่างไรกับการเปลี่ยนแปลงที่จะมีขึ้น ยิ่งโพลนิด้าสำรวจผลกระทบกับรัฐบาลเมื่อทักษิณยังอยู่ รพ.ตำรวจ ประชาชนร้อยละ 15 เชื่อจะเกิดผลกระทบ และอีกร้อยละ 11 คาดจะนำไปสู่วิกฤตการเมืองรอบใหม่ เพียงเท่านี้ก็เป็นสัญญาณอยู่ยากแล้ว"
นายจตุพร เชื่อว่า สถานการณ์วิกฤตจะลากลามไปเร็วมาก หาก 22 ก.พ.นี้ ทักษิณ ตัดสินใจขอพักโทษได้ออกจาก รพ.ตำรวจกลับบ้าน มีอิสระออกจากบ้านไปได้ทั่ว กทม. ซึ่งแตกต่างจากเงื่อนตามระเบียบราชทัณฑ์เปลี่ยนบ้านเป็นคุกจะออกจากบ้านไปไหนไม่ได้เลยก็ตาม
อย่างไรก็ตาม กรณีทักษิณ ไม่ติดคุกสักวันนั้น เมื่อผสมกับช่องว่างการพักโทษ จึงต้องจับตาว่า อาจส่งผลให้เกิดชนวนประชาชนไม่พอใจมีมากน้อยเพียงไร แม้พยายามอธิบายการพักโทษถูกต้องตามระเบียบราชทัณฑ์ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงคือ ได้รับโทษติดคุกที่เหลือหนึ่งปีสักวันแล้วหรือไม่ แล้วยังมีข้อสงสัยการป่วยอยู่ รพ.ตำรวจจริงหรือไม่ มาซ้ำเติมให้เกิดอารมณ์เดือดดาลหนักขึ้นไปอีก
"ผมต้องการชี้ให้เห็นว่า ไม่ใช่เรื่องความชิงชังหรืออคติ แต่จะปล่อยปละให้บ้านเมืองเป็นอย่างนี้ไม่ได้ แม้ทั้งหมดเป็นการดีล ถ้าไม่มีขื่อแปแล้ว คำพิพากษาของศาลก็ไม่มีความหมาย ต่อไปฝ่ายบริหารจะเหนือกว่าฝ่ายตุลาการซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติของบ้านเมือง"
รวมทั้งเสนอทางออกว่า ยังมีทางที่สวยงามถ้าทักษิณติดคุก แล้วเดินทางไปกลับคุกกับ รพ.ให้คนเห็นก็ไม่เป็นที่ให้คนสงสัย อีกอย่างขณะนี้อยู่ รพ.มาถึง 153 วัน แต่ช่วงที่ผ่านมากว่า 140 วันญาติไม่ปรากฎว่าได้ไปเยี่ยมเลย
ตลอดจนกล้องวงจรปิด รพ.ยังเสียอย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้การรักษาความปลอดภัยนักโทษไม่สมเหตุสมผลและน่าแคลงคลางใจอย่างมาก ดูเหมือนวันนี้สังคมไทยถูกทำให้ยอมรับการโกหกตลบตะแลงเป็นสิ่งที่กระทำได้เพื่อเอาตัวเองให้รอดเพียงคนเดียว ส่วนกระบวนการของบ้านเมืองเสียหาย พังยับเป็นทิวแถบ
นายจตุพร กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองขณะนี้ ถ้าพรรคเพื่อไทยเดินเครื่องหักดิบผิดไปจากดีลที่ตกลงกันไว้ ก็จะเจอผลลัพธ์การลงโทษก่อนถึงวันที่ 11 พ.ค. ซึ่งเป็นวันที่ สว.หมดวาระในตำแหน่ง ดังนั้น จึงสะท้อนว่าการดีลไม่ได้เบ็ดเสร็จจนเรียบร้อยไปทุกสิ่งอย่าง โดยสังเกตุจากงบประมาณปี 67 ถูกดองเอาไว้จนถึงปัจจุบัน จึงเป็นเรื่องแปลกของรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ
"สิ่งนี้แสดงถึงผลการดีลว่า ให้เป็นรัฐบาล ได้นายกฯ แต่ไม่ให้ใช้เงิน นายเศรษฐา จึงต้องเป็นนายกฯ เซลล์แมนเร่ขายของ พยายามเดินสายขายแลนด์บริดจ์ให้ต่างชาติมาลงทุนร้อยเปอร์เซ็นต์เพื่อหาเงินมาบริหารประเทศ แต่ยังไม่มีสักชาติตอบรับการลงทุนเพราะหาจุดคุ้มทุนไม่เจอ อีกอย่างแม้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ คิดโครงการนี้ขึ้นมา แต่ทำไม่ได้จึงตกค้างมาถึงรัฐบาลเพื่อไทยให้สานงานต่อ"
นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าแลนด์บริดจ์เป็นความเจริญของประเทศแล้ว ย่อมมีปัญหาว่า ใครจะมาลงทุนทำโครงการให้เกิดขึ้นเป็นจริง และไม่ใช่เรื่องของนักการเมืองต้องมาเถียงกันในสาระจุดคุ้มทุนที่รัฐบาลเพื่อไทยพยายามโหมกลบความจริงว่า ในขณะนี้ยังไม่มีคนมาลงทุน
นอกจากนี้ โครงการอื่นของรัฐบาลเพื่อไทยยังไม่เกิดขึ้นเป็นชิ้นเป็นอัน ทั้งค่าแรงขั้นต่ำและการแจกเงินในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตยังเป็นเพียงความพยายามหาเหตุมาโฆษณาหลอกหลบเอาตัวรอดจากสัญญาไม่เป็นสัญญาเท่านั้น
“ทั้งที่แท้จริงแล้วทำไม่ได้ และไม่ได้ทำกันจริง เพราะไม่กล้าเสนอให้ ครม.ออกเป็น พรก.กู้เงิน 5 แสนล้าน โดยพลิกลิ้นจากเคยประกาศหาเสียงไว้ไม่กู้เงินมากู้เงินเมื่อได้เป็นรัฐบาลแสดงถึงเสียความน่าเชื่อถือของนักการเมือง (อวดอ้างคิดใหม่ทำเป็น) ไปหมดสิ้น ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงนโยบายซอฟพาวเวอร์ที่ยังหาฝั่งขึ้นไปทำโครงการไม่เจออีกด้วย”
พร้อมทั้งกล่าวว่า เมื่อรัฐบาลไม่มีผลงานเป็นรูปธรรม จับต้องอะไรไม่ได้เลยสักชิ้น แม้ประชาชนยังไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ถ้าไม่ได้เป็นไปตามดีลที่ตกลงกันไว้ ซึ่งเวลาใกล้เข้ามาเต็มที โดยสังเกตุจากการขยับของสถานการณ์แต่ละฝ่ายอย่างน่าสนใจถึงการเปลี่ยนแปลงอาจเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายชนิดไม่คาดถึงมาก่อนเลย
นายจตุพร มั่นใจว่า เวลาทวงดีลเริ่มขยับตั้งแต่กุมภาพันธ์เพื่อไปปะทุแรงในมีนาคมนี้ เพราะคนออกแบบดีลไม่ต้องการให้ไปใกล้วันที่ 11 พฤษภาคม ที่ สว.หมดวาระ ซึ่งเป็นดีลเบื้องแรกของการกลับบ้านและแพ้เลือกตั้งได้เป็นรัฐบาล ดังนั้น ถ้าไม่ทำตามดีลที่ตกลงกันไว้คงได้เห็นสถานการณ์ใหม่เกิดขึ้นชนิดอย่ากระพริบตา
"เมื่อการดีลที่ประเทศไม่ได้ประโยชน์อะไร จึงเป็นความโง่ที่สุดในความคิดที่เชื่อว่าฉลาด ได้ชัยชนะเบ็ดเสร็จจากการดีล สิ่งที่น่าคิดคือ ควรได้รับคำยกย่อง แต่กลับถูกประณามทั้งแผ่นดิน ดังนั้นเหตุการณ์ใหม่จะมาถึงอย่างรวดเร็วและไม่นานจะได้ประจักษ์กัน"
ส่วนการตัดสินคดีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล กรณีถือหุ้นไอทีวีนั้น นายจตุพร คาดว่า นายพิธาจะรอดผ่านพ้นไปได้จากการยึดมั่นใช้หลักยุติธรรมตามกฎหมาย เพราะหากใช้หลักการเมืองไปจัดการแล้ว ยิ่งเท่ากับเร่งให้พรรคก้าวไกลเติบโตมากขึ้น
อีกทั้งเชื่อว่า พรรคก้าวไกลยังจะรอดจากคดียุบพรรคด้วยเช่นกัน เพราะการล้มล้างการปกครองและการแก้ ม.112 ยังไม่เกิดขึ้น ในทางกฎหมายจึงเท่ากับไม่มีการพิสูจน์ว่า เป็นความผิด