วันที่ 12 ม.ค.2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายใต้การอำนวยการ พ.ต.ท.ภนภัค ภานุเดชากฤษ รอง ผกก.สส.ฯ รักษาราชการแทน ผกก.สภ.ทุ่งหว้า สั่งการให้ พ.ต.ท.มาโนช สุทธิรักษ์ เจ้าพนักงาน ป.ป.ส. พร้อมกำลัง ร.ต.อ.กฤษฎา พฤกษะศรี ร.ต.อ.ศักดา หวานคง และกำลังเข้าจับกุมผู้ต้องหา 2 คนได้บนถนนต่อเนื่องไปที่ รีสอร์ทแห่งหนึ่งใน หมู่ที่ 2 ต.ทุ่งหว้า อ.ทุ่งหว้า จ.สตูล ร่วมกันจับกุมตัว นายนพรัตน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี และนายนนทกร(สงวนนามสกุล)อายุ 19 ปี ทั้งคู่เป็นชาวบ้านหมู่ที่ 2 ตำบลบางพระ อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมของกลาง 29 รายการ ประกอบด้วย ชุดม้าทรง สีแดง, สีเขียว , สีเหลือง , สีน้ำเงินและสีขาว 2 ชุด (รวม 16 ชุด) มงกุฎม้าทรง 2 อัน , แซ่ 8 อัน กลองไม้หุ้มหนัง 1 ใบ , สร้อย+ต่างหู 10 ชุด , ฉาบ 1 คู่,ดาบม้าทรง 1 เล่ม , ลูกประคำไม้ สีน้ำตาล 4 เส้น ,และแจกัน ,รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมเซรามิกสีขาว 1 องค์ , พระพุทธรูปจีน สีทอง 1 องค์ , พระพุทธรูปจีนเซรามิก 2 องค์ ธงพร้อมด้าม 34 อัน และอีกหลายรายการ ในข้อหา “ ร่วมกันลักทรัพย์ ในสถานที่บูชาสาธารณะ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกในการกระทำความผิดหรือพาทรัพย์นั้นไป ”
โดยพฤติการณ์คนร้ายในครั้งนี้ สืบทราบว่าเมื่อวันที่ 9 ม.ค.2567 ตำรวจได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า มีวัยรุ่นแปลกหน้าเข้ามาขับรถวนเวียนในหมู่บ้าน อาจมีการเตรียมก่อเหตุร้ายให้เจ้าพนักงานตำรวจตรวจสอบ เจ้าพนักงานตำรวจชุดสืบสวนได้ตรวจสอบข้อมูลกล้องวงจรปิดตามเส้นทาง แล้วรายงานผู้บังคับบัญชาทราบและติดตามพฤติกรรมโดยตลอด
ต่อมาวันที่ (11 ม.ค.2567 ) ได้รับแจ้งจาก ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านว่า มีชายวัยรุ่นต้องสงสัยสองคนขับขี่รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่น สกู๊ปปี้ไอ สีดำ-แดง คาดว่า อาจเป็นคนร้ายที่เข้ามาขโมยทรัพย์สินภายในศาลเจ้า จึงแบ่งกำลังกันติดตามตรวจสอบ จนพบชายวัยรุ่น 2 คน ขับขี่รถจักยานยนต์ คันดังกล่าว มาบนถนนเจ้าพนักงานตำรวจจึงได้ติดตามอย่างต่อเนื่อง และได้ขอให้หยุดรถ แสดงตัวขอทำการตรวจสอบ
ผลการตรวจค้น พบ สร้อยคอลูกประคำ สีน้ำตาลในกระเป๋าของนายนพรัตน์ อายุ 33 ปี ชุดจับกุมจึงได้สอบถาม ผู้ต้องหาให้การว่าตนเองได้นำมาจากศาลเจ้าแม่โพธิสัตย์กวนอิมทุ่งหว้า บ้านทุ่งปรือ หมู่ที่ 4 ต.ทุ่งหว้า อ.ทุ่งหว้า ซึ่งตนเองคิดว่าเป็นศาลเจ้าร้าง เพราะตนเองมีความชอบ ศรัทธาและความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าของจีน
ชุดจับกุมจึงได้สอบถามว่า นอกจากลูกประคำนี้แล้ว ยังมีสิ่งของอย่างอื่นอีกหรือไม่ นายนพรัตน์ ให้การว่า ยังมีอยู่อีกที่ห้องพัก และได้นำเจ้าหน้าที่ตำรวจไปยังห้องพักพร้อมกับอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปตรวจสอบ พบของกลางทั้งหมดตามตำแหน่งที่พบของกลางข้างต้น
ผู้ต้องหาทั้งสอง ยังให้การรับสารภาพว่า ของกลางทั้งหมดพวกตนเองไปเอามาจาก ศาลเจ้าไม่ทราบชื่อ สภาพคล้ายศาลเจ้าร้าง ตนเองคิดว่าคงไม่มีใครต้องการแล้ว จึงได้เข้าไปเอามาเพื่อเก็บรักษาและนำไปสักการะบูชาตามความเชื่อต่อไป เพราะตนเองมีความชอบ ศรัทธาและความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าของจีน ส่วนจักรยานยนต์ที่ใช้ก่อเหตุนั้นตนเองได้เช่ามาจากรีสอร์ทที่ตนเองเช่าพักจริง
พ.ต.ท.ภนภัค ภานุเดชากฤษ รอง ผกก.สส.ฯ รักษาราชการแทน ผกก.สภ.ทุ่งหว้า เปิดเผยกับสื่อว่า การจับกุมผู้ต้องสองรายได้ในครั้งนี้ เป็นการนำข้อมูลจากชาวบ้านที่พบเห็นบุคคลแปลกหน้ามาพักในพื้นที่
โดยพบว่าเปิดโรงแรม 1 สัปดาห์ จากนั้นจึงมีการสแกนพื้นที่และมอนิเตอร์พบว่ามีการใช้รถจักรยานยนต์ในการก่อเหตุ โดยกล้องบันทึกภาพได้ พบว่าวันเกิดเหตุมีการวนเวียนพื้นที่ศาลเจ้าแม่โพธิสัตย์กวนอิมทุ่งหว้า บ้านทุ่งปรือ หมู่ที่ 4 ต.ทุ่งหว้า อ.ทุ่งหว้า อยู่นานก่อนใช้กระสอบในการขนทรัพย์สินของศาลเจ้าออกไปหลายรายการ โดยตำรวจก็สามารถรวบตัวได้ทันควันพร้อมของกลาง และดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
 
        



