คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
อีกแค่เพียงสิบเดือนเท่านั้นสหรัฐอเมริกาก็จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ และถึงแม้ว่าขณะนี้จะมีการคาดการณ์กันว่า “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” และ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” อาจจะเป็นคู่ที่ลงแข่งกันในสนามอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับประธานาธิบดีโจ ไบเดน แล้วนั้น ดูเหมือนว่าขณะนี้กำลังเผชิญกับปัญหาที่ถาโถมเข้ามาหลายๆด้านด้วยกัน อาทิเช่น ปัญหาด้านคะแนนนิยมของเขาที่กำลังลดน้อยถอยลงแบบสุดๆ แต่ในทางกลับกันคะแนนนิยมของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์กลับพุ่งแรงแซงขึ้นหน้า อาจจะเป็นเพราะว่าคนอเมริกันกังวลเกี่ยวกับเรื่องอายุอานามของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ว่าจะแก่เกินไปที่จะบริหารประเทศในอีกสี่ปีข้างหน้า!!!
นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีปัญหาเรื่องที่คนใกล้ชิดและบรรดาพันธมิตรของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ก่อนหน้านี้เคยให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี แต่ตอนนี้กลับมีความลังเลที่จะให้เขาเดินหน้าสู้ต่อไป
สำหรับด้านของ อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นั้น ดูเหมือนว่าขณะนี้ก็กำลังเผชิญกับปัญหารอบด้านด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เขามีคดีอาญาเป็นชนักติดหลังถึง 91 ข้อหา อาทิเช่น ข้อหาที่เขาพยายามที่จะล้มผลการเลือกตั้งเมื่อปีค.ศ. 2020 ตามติดด้วยข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการบริหารจัดการเอกสารลับอย่างไม่ถูกต้องหลังพ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดี นอกจากนั้นแล้วเขาก็ยังถูกข้อหาขัดขวางการถ่ายโอนตำแหน่งประธานาธิบดีตามรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ชนะการเลือกตั้งเข้าสู่ทำเนียบขาว
และถึงแม้ว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์จะเผชิญกับคดีอาญามากถึง 91 กระทงก็ตาม แต่แทนที่จะสร้างผลกระทบต่อคะแนนนิยมของเขา กลับปรากฏว่าคะแนนนิยมกลับพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ แถมยังสามารถเรียกร้องความเห็นอกเห็นใจจากฐานเสียงของเขาที่ส่วนใหญ่เป็นคนผิวขาว โดยผู้ที่มีความศรัทธาต่ออดีตประธานาธิบดีทรัมป์ต่างแห่แหนควักกระเป๋าบริจาคเม็ดเงิน เพื่อให้เขานำไปต่อสู้คดีได้จำนวนมหาศาล โดยเขาไม่จำเป็นต้องควักกระเป๋าของตัวเองเลยแม้แต่น้อย!!!
ทั้งนี้การที่ประธานาธิบดีทรัมป์มีประวัติด่างพร้อยไม่โปร่งใส และยังชอบวางตัวเป็นจอมเผด็จการ จึงมีผลทำให้ผู้นำคนสำคัญๆในพรรครีพับลิกันบางคนแสดงอาการไม่ปลื้ม ถึงขนาดออกโรงมาต่อต้านไม่ต้องการให้เขาลงแข่งขันอีกต่อไป โดยอ้างว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งแม้แต่น้อย
แต่เนื่องจากขณะนี้วัฒนธรรมทางการเมืองของสหรัฐฯแปรเปลี่ยนไปแบบตาลปัตรหน้ามือเป็นหลังมือ โดยบรรดาฐานเสียงที่ส่วนใหญ่เป็นคนผิวขาว 75.5% ต่างเล็งเห็นกันว่า ควรจะมองข้ามตำหนิจุดด่างพร้อยของประธานาธิบดีทรัมป์ และยังยืนยันว่าพวกเขายังคงนิยมชมชอบประธานาธิบดีทรัมป์อย่างไม่สร่างซา ซึ่งต้องไม่ลืมว่า ประธานาธิบดีทรัมป์มีพรรสวรรค์พิเศษในด้านมีฝีปากในการเจรจา แถมยังมีความเชี่ยวชาญด้านการตลาดอย่างหาตัวจับยากอีกด้วย
ตรงกันข้ามกับ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่เป็นคนพูดน้อย และบ่อยครั้งพูดตะกุกตะกักทำให้เสียภาพพจน์การเป็นผู้นำอย่างน่าเสียดาย
นอกจากนั้นแล้วประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยังมีจุดบอดเกี่ยวกับปัญหาส่วนตัวในเรื่องการกระทำสีเทาของลูกชาย ซึ่งกลายเป็นช่องโหว่ให้ศัตรูทางการเมืองของเขาเจาะลึกยกขึ้นมาโจมตีและวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงตลอดสามปีที่ผ่านมา
ตามติดมาด้วยนักการเมืองในพรรคเดโมแครตออกโรงมาลงแข่งขันท้าทาย โดยเฉพาะ “ส.ส.โรเบิร์ต เอฟ.เคนเนดี จูเนียร์” หลานชายของ “อดีตประธานาธิบดีจอห์น เอฟ.เคนเนดี”
ก่อนหน้านี้ ส.ส.โรเบิร์ต เอฟ.เคนเนดี เคยสังกัดอยู่ในค่ายพรรคเดโมแครต แต่ขณะนี้เขาลงสมัครเข้าแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีในนามของพรรคอิสระ แต่อย่างไรก็ตามย่อมจะส่งผลกระทบต่อคะแนนเสียงของประธานาธิบดีโจ ไบเดน อยู่ดี การที่ ส.ส.โรเบิร์ต เอฟ.เคเนดี ประกาศลงแข่งขันกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในครั้งนี้ ไม่แตกต่างมากนักกับสมัยที่ “ประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์” ถูก “วุฒิสมาชิกเท็ด เคนเนดี” น้องชายของประธานาธิบดีจอห์น เอฟ.เคนเนดี ลงสมัครเข้าไปแข่งขันต่อสู้ จนมีผลทำให้ประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ ต้องพ่ายแพ้การเลือกตั้งต่อ “ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน” ที่ไม่แน่ว่าประวัติศาสตร์อาจจะเกิดซ้ำรอยอีกครั้งก็เป็นไปได้!!!
และสมมุติว่า หากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้เป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต และ อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ได้เป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกัน การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในอีกสิบเดือนข้างหน้าคงจะเป็นเรื่องที่แสนสลับซับซ้อนมากทีเดียว
อนึ่งกระบวนการเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯนั้น ยึดเอา “Electoral Vote” เป็นตัวกำหนด ซึ่งมีเสียงทั้งหมด 538 เสียง โดยตัวเลขของคะแนนทั้งหมดนี้มาจากจำนวนสมาชิกผู้แทนราษฎรทั่วประเทศ 535 คน บวกกับอีกสามเสียงของวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งเป็นเมืองหลวงของสหรัฐฯนั่นเอง
และผู้ที่จะได้รับเลือกให้เข้าไปเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ จะต้องได้รับคะแนนเสียงอย่างน้อย 270 เสียงขึ้นไป
แต่เมื่อหันมาดูข้อมูลที่ค่อนข้างละเอียดล่าสุดของ “ซีเอ็นเอ็น” เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2024 ปรากฎว่า ค่ายพรรครีพับลิกันมีเสียงสนับสนุนแข็งแกร่งกว่าค่ายพรรคเดโมแครต กล่าวคือ รัฐที่สนับสนุนประธานาธิบดีทรัมป์ขณะนี้ได้แก่ รัฐแอละแบมา (9 เสียง) รัฐอะแล (3 เสียง) รัฐอาร์คันซอ (6 เสียง) รัฐไอดาโฮ (4 เสียง) รัฐอินดีแอนา (11 เสียง) รัฐไอโอวา (6 เสียง) รัฐแคนซัส (6 เสียง) รัฐเคนทักกี้ (8 เสียง) รัฐลุยเซียนา (8 เสียง) รัฐมิสซิสซิปปี (6 เสียง) รัฐมิสซูรี (10 เสียง) รัฐมอนแทนา (4 เสียง) รัฐเนแบรสกา (4 เสียง) รัฐนอร์ทดาโคตา (3 เสียง) รัฐโอไฮโอ (17 เสียง) รัฐโอคลาโฮมา (7 เสียง) รัฐเซาท์แคโรไลนา (9 เสียง) รัฐเซาท์ดาโคตา (3 เสียง) รัฐเทนเนสซี (11 เสียง) รัฐเทกซัส (40 เสียง) รัฐยูทาห์ (6 เสียง) รัฐเวสต์เวอร์จิเนีย (4 เสียง) และรัฐไวโอมิง (3 เสียง) โดยเมื่อรวมกันแล้วจะมีคะแนน Electoral Vote ทั้งหมดอยู่ที่ 188 เสียง
นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีอีกเจ็ดรัฐที่เอนเอียงจะเทคะแนนให้พรรครีพับลิกัน อันได้แก่ รัฐฟลอริดา (30 เสียง) รัฐจอร์เจีย (16 เสียง) รัฐเมน เขตหนึ่ง (1 เสียง) มิชิแกน (15 เสียง) เนวาดา (6 เสียง) และนอร์ทแคโรไลนา (16 เสียง) ที่รวมกันแล้ว 84 เสียง
สำหรับ 12 รัฐ ที่เป็นฐานเสียงสนับสนุนพรรคเดโมแครต และจะเทคะแนนให้แก่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน รวมกันแล้วมี 175 เสียงด้วยกัน ได้แก่ รัฐแคลิฟอร์เนีย (54 เสียง) รัฐคอนเนตทิคัต (7 เสียง) รัฐเดลาแวร์ (3 เสียง) วอชิงตันดี.ซี.(3 เสียง) ฮาวาย (4 เสียง) อิลลินอยส์ (19 เสียง) เมน (3 เสียง) รัฐแมริแลนด์ (10 เสียง) รัฐแมสซาชูเซตส์ (11 เสียง) รัฐนิวเจอร์ซีย์ (14 เสียง) รัฐนิวยอร์ก (28 เสียง) และรัฐโรดไอแลนด์ (4 เสียง) รัฐเวอร์มอนต์ (3 เสียง) และรัฐวอชิงตัน (12 เสียง)
และยังมีอีก 6 รัฐที่เอนเอียงจะสนับสนุนพรรคเดโมแครตของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งทั้งหกรัฐนี้จะมีคะแนนรวมอีก 50 เสียง ซึ่งได้แก่รัฐโคโลราโด (10 เสียง) รัฐมินนิโซตา (10 เสียง) รัฐนิวแฮมป์เชียร์ (4 เสียง) รัฐนิวเม็กซิโก (5 เสียง) รัฐออริกอน (8 เสียง) และรัฐเวอร์จิเนีย (13 เสียง)
อย่างไรก็ตามก็ยังมีอีก 4 รัฐ ที่เป็นรัฐสวิงแกว่งไปแกว่งมาไม่รู้ว่าจะเลือกค่ายพรรคใด ได้แก่ รัฐแอริโซนา (11 เสียง) เขต 2 ของรัฐเนแบรสกา (1 เสียง) รัฐเพนซิลเวเนีย (19 เสียง) และรัฐวิสคอนซิน (10 เสียง)
อนึ่งข่าวร้อนล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2024 ศาลสูงสุดของสหรัฐฯได้ออกมาแถลงว่า “จะนำคำตัดสินของศาลฎีกา ณ รัฐโคโลราโดกลับมาทบทวนใหม่ในเรื่องการถอดถอนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์และตัดสิทธิ์ที่ไม่สามารถจะเข้าไปแข่งขันเลือกตั้งได้อีกเลย สืบเนื่องมาจากเขาอยู่เบื้องหลังการก่อการจลาจลเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 ที่ขัดขวางการถ่ายโอนอำนาจให้แก่ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เข้าสู่ทำเนียบขาวเพื่อดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยการกระทำของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์เยี่ยงนี้เข้าข่ายเป็น “กบฎ” นั่นเอง
และในเมื่อศาลฎีกาจะทบทวนคำตัดสินของศาลฎีกาของรัฐโคโลราโดในวันที่ 8 กุมภาพันธ์นี้ ก็ยิ่งจะสร้างความสลับซับซ้อนต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 นี้อย่างแน่นอน
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นหากเอาคะแนนที่มาจากการหยั่งเสียงมาลองวิเคราะห์กันดูแล้ว จะเห็นได้ว่า “คะแนน Electoral Vote” ของ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ได้รับจากบรรดารัฐฐานเสียงของเขาเข้าไปอยู่ในกระเป๋าแล้วถึง 272 เสียง ที่ถือเป็นคะแนนที่เพียงพอเหลือแหล่ที่จะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาในอีกสิบเดือนข้างหน้า แต่ในทางกลับกันก็ดูเหมือนว่าคะแนนของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จากการหยั่งเสียงจะมีอยู่แค่เพียง 225 คะแนนเท่านั้น แต่เป็นที่รู้กันอย่างดีว่า การเมืองเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนเปลี่ยนได้แทบทุกวินาที แถมยังแสนจะสลับซับซ้อน ที่ขณะนี้มีศาลฎีกาเข้ามาพัวพัน และผู้พิพากษาสามในเก้าคนยังเป็นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีทรัมป์ และยังมีภรรยาของ “ผู้พิพากษาคลาเรนซ์ โทมัส” ที่เคยเป็นผู้ออกมาเคลื่อนไหวสนับสนุนประธานาธิบดีทรัมป์อย่างออกหน้าออกตา ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถฟันธงได้แบบตรงๆเป็นไม้บรรทัดว่า ใครจะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนต่อไปละครับ