ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
“ผลของสงครามโลกครั้งที่ 2..ทำให้โลกแห่งชีวิตต้องสะท้านสะเทือนและบอบช้ำด้วยหายนะอย่างหนัก นั่นคือผลลัพธ์อันเนื่องมาแต่ความร้อนร้ายที่เกิดจากใจของมวลมนุษยชาติ..ปรากฏการณ์ต่อจากนั้น คือความพลิกผันของชะตากรรม ที่ไม่มีใครสามารถจะคาดหมายได้..ว่าจะก่อเกิดรูปลักษณ์ใดต่อชีวิต..เป็นปริศนาอันมืดมน ที่ห่มคลุมโลกแห่งจิตวิญญาณไปทั่ว..และคล้ายดั่งว่า..แทบจะไม่มีใครที่ก้าวพ้นหลัมบ่อแห่งความทุกข์ทรมานนี้ไปได้..แม้ภาวะของสงครามจะปิดฉากลงไปแล้ว แต่ซากเดนของอุบัติการณ์อันถือเป็นโศกนาฏกรรมนี้ก็ยังอาบเปื้อนเนื้อใน..ของเหยื่อสงครามอย่างไม่รู้สิ้น..ไม่ในสถานะใดก็ในสถานะหนึ่ง..นี่คือความเป็นอัปยศที่ฝังลึกอยู่ในใจ..อย่างยากที่จะเยียวยา..ใดๆ”
รากลึกทางความคิดจากนวนิยายแห่งบาดแผลของชีวิตและจิตวิญญาณข้างต้น..คือสาระอันถือเป็นสัจจะแห่งชีวิตและชะตากรรมที่ชวนพิเคราะห์ยิ่ง ..มันคือนัยสำนึกที่กรีดอารมณ์ความรู้สึกออกมาจากประเด็นแห่งโศกนาฏกรรมที่สะท้อนออกมาจากผลรวมของ “รถไฟขนเด็ก” (il trenno dei bambini)…ประพันธกรรมชิ้นเยี่ยม ในรูปรอย “นวนิยาย” ของอาจารย์ นักเขียนชาวอิตาเลียน.. “Viola Ardone”
ห้วงเวลาแห่งการสิ้นสุดสงครามโลก..ครั้งที่ 2..หายนะแห่งโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นทั่วทั้งตายุโรป..รวมทั้งที่ประเทศอิตาลี..โดยเฉพาะดินแดนทางใต้ที่ประสบกับความบอบช้ำและพบกับหายนะอย่างหนัก..ประสบกับการขาดแคลนอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค..มันคือความทุกข์เศร้าที่พวกเขาต้องเผชิญ และต้องตัดสินใจที่จะต้องเลือกกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้ชีวิตรอด..อุบัติการณ์แห่ง “รถไฟขนเด็ก” เริ่มต้นขึ้นตรงนี้ ก่อนจะล้ำลึกไปสู่วิกฤตแห่งวิกฤตของชีวิตที่ยากจะคลี่คลาย..เหมือนจะดีงามแต่กลับพลิกคว่ำพลิกหงายด้วยเหตุแห่งเงื่อนงำของชีวิตที่โถมสาดเข้าใส่ในทุกเวลานาที..ที่ถูกนัยชีวิตเผาผลาญไป..เด็กต้องขึ้นรถไฟจากใต้สู่เหนือเมื่อถึงฤดูเพื่อไปอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์..ที่หวังกันว่าจะทำให้ชีวิตของเด็กๆเหล่านี้ดีขึ้น/ทำให้เด็กๆ ณ ภาวะนั้นต้องพลัดบ้านพลัดเมือง พลัดพรากจากอ้อมอกของพ่อแม่และครอบครัวอย่างไม่ทันตั้งตัว..
แท้จริงแล้ว..อิตาลีถือเป็นประเทศที่วัฒนธรรมจะเน้นของความรักภายในครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง..โดยความรักในมิติสถานะของแม่กับลูก,..แม่ผู้ทำหน้าที่ฟูมฟักและมอบความรักให้แก่ลูก..ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว..แม่ชาวอิตาลีจะไม่ได้ประกอบอาชีพใดๆ นอกจากการทำหน้าที่เป็นแม่บ้านเท่านั้น..ส่วนพ่อ..จะเป็นเสาหลักของครอบครัว..ทำงานหาเงินหารายได้แก่ครอบครัว..แต่สำหรับ “อันโตเนียตตา” แม่ในนวนิยายเรื่องนี้..เธอไม่ได้มีสถานะเป็นเช่นนั้น..เธอต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัว..
ชีวิตของชาวเนเปิล..หลังสงครามโลกครั้งที่สอง..เต็มไปด้วยความทุกข์ยาก..สามีของเธอบอกว่าจะไปทำงานหาเงินที่อเมริกา..แต่แล้ว..เขาก็หนีหายทิ้งเธอและลูกไป.. เธอต้องเลี้ยงดูลูกโดยลำพัง..ดีที่ลูกชายคนโตป่วยเป็นโรคหอบหืดเสียชีวิตไปตั้งแต่เด็ก..จึงเหลือแค่เพียง “อเมริโก” ..ลูกชายคนเล็กให้เธอได้เลี้ยงดู..เธอต้องทำงานอย่างหนักแลกกับเงินเพื่อให้ลูกชายของเธอได้รับในสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต..เธอเก็บเศษผ้าเก่ามาซ่อมแซมแล้วขายต่อ..กระทั่งยอมขายศักดิ์ศรีของความเป็นผู้หญิงผ่านกายร่างแห่งจิตวิญญาณแก่ผู้ชาย..บางคน..ทุกสิ่งที่เธอตัดสินใจและเลือกที่จะกระทำ..เป็นไปเพื่อให้ลูกชายของเธอได้รับในสิ่งที่ดีที่สุด..เพื่อหวังจะให้เขาได้มีโอกาสที่จะเป็นคนดี..
“แม่เคยบอกว่า..เรายากจนก็จริง แต่เราไม่ขโมยของของใคร..เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น..เราจะเป็นคนเลว"
นอกจากจะไม่ขโมยของใครแล้ว..เธอก็ยังไม่เคยขอของใครอีกด้วย.. “ในชีวิตของฉัน..ไม่เคยขออะไรจากใคร..หรือแม้หากเคยขอ..ก็จะต้องคืนให้เสมอ/..แต่ถ้าเห็นว่าจะคืนไม่ได้..ฉันก็จะไม่ขอของใครเลย” แต่ระหว่างและท่ามกลางคำนินทาว่าร้ายต่อเธอ..จากเหล่าเพื่อนบ้าน..โดยเพาะการโจษจันว่า..พรรคคอมมิวนิสต์จะพาเด็กๆรวมทั้งลูกของเธอไปทำงานที่รัสเซีย บ้างก็เล่าลือว่าเด็กๆจะต้องถูกส่งเข้าเตาเผา..แต่เธอก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่จะส่งลูกชายไปอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ที่เธอเองก็ไม่รู้จัก..ด้วยความเชื่อที่ว่า..นั่นคือหนทางสุดท้ายที่ “อเมริโก” จะได้มีอาหารกินจนอิ่มท้อง..ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียน..ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต..ที่ชีวิตของเธอไม่เคยได้รับ..
แม่..ซึ่งอเมริโก เรียกเธอว่า “แม่อันโตเนียตตาของผม” ..เขารู้สึกอย่างไรบ้างหนอ?..เมื่อถูกแม่ของตัวเองส่งตัวไปอยู่กับคนอื่น..ด้วยเหตุผลของความหวังดี.. “มันมีน้ำหนักมากกว่าความผูกพัน ระหว่างแม่กับลูกกระนั้นหรือ?”
“อเมริโก สเปรันซา” เด็กชายวัย 7 ขวบจากเมืองเนเปิลที่บอบช้ำจากภัยสงคราม..กลายเป็นหนึ่งในเด็กๆที่ถูกพ่อแม่ส่งตัวขึ้นรถไฟขบวนพิเศษ..เพื่อไปพักอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ที่พวกเขาไม่รู้จัก ณ ดินแดนทางตอนเหนือของอิตาลี ที่มีภูมิประเทศ..สภาพอากาศ แตกต่างจากเมืองทางตอนใต้..แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่เขาคุ้นเคย พรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้เป็นรัฐบาลในขณะนั้น แต่ก็มีบทบาททางการเมืองสูง เป็นกลุ่มผู้ดำเนินการโดยนโยบายช่วยเหลือประชาชน..ประเด็นสำคัญของเรื่องจึงอยู่ว่า..ด้วยบริบทดั่งนี้..
“เด็กน้อยอเมริโก..จะรู้สึกเช่นไร..เมื่อถูกแม่ของตัวเอง ส่งไปอยู่กับคนอื่น..แม้จะเป็นครอบครัวที่มีทุกอย่างพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็น..ข้าวปลาอาหาร..เครื่องนุ่งห่ม การศึกษา และ ความรัก” ตัวละครสำคัญผู้สร้างสรรค์ชีวิตให้งดงามอย่างลึกซึ้งในนวนิยายเรื่องนี้..ให้เป็นความทรงจำอันวิจิตรบรรจงย่อมหนีไม่พ้น.. “มักดาเลนา” ตัวละครแม่ผู้สูงค่าแต่มีบาดแผลซ่อนลึกในใจ...เธอเปรียบเป็นดั่งแม่คนที่สองของอเมริโก..เธอเป็นผู้หญิงผมสั้น สวมกางเกงดั่งผู้ชาย..เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์..และเป็นแกนนำสำคัญในการพาเด็กๆขึ้นรถไฟให้ได้มาอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์..ด้วยความรัก..
แต่ภายใต้ใบหน้าที่อิ่มเต็มไปด้วยความรัก..เธอกลับมีความร้าวรานเจ็บปวดแฝงฝังอยู่..เธอเคยตั้งท้องตั้งแต่วัยรุ่นได้ลูกสาว..แต่ด้วยความกลัวและเกรงว่าจะถูกขับออกจากพรรค/เธอจึงตัดสินใจที่จะขจัดและทำลายลูกสาวเธอเสีย..นั่นคือภาวะของบาปที่เปื้อนใจอันเจ็บปวด..
เหตุนี้..การทำงานของเธอโดยพยายามผลักดันโครงการรถไฟขบวนพิเศษ..เพื่อขนและช่วยเหลือเด็กๆที่ตกอยู่กับความยากลำบากและทุกข์เศร้า..จึงเหมือนดั่งเป็นความพยายามที่จะไถ่บาปแต่ครั้งในวัยเยาว์ของเธอ “สิ่งที่ฉันไม่อาจทำให้ลูกสาวของฉันได้..ฉันก็ทำให้ลูกๆของคนอื่น”..
“มักดาเลนา”..ไม่อาจรู้ได้เลยว่า..ความปรารถนาอันมีค่าสูงส่งของเธอนั้น..ได้ทำให้ชีวิตของเด็กชาย “อเมริโก” เปลี่ยนไปอย่างไม่มีใครจะคาดถึง..ตามปูมประวัติ “อเมริโก” เป็นเด็กซน..ไม่ใช่เด็กที่เติบโตด้วยพฤติกรรมตามแบบฉบับ/แต่..เขารักแม่มาก..เมื่อแม่บอกให้ขึ้นรถไฟไปอยู่กับครอบครัวอื่นในฤดูหนาวเขาก็ยอมไปด้วยดี..แม้จะแฝงไว้ด้วยความปรารถนาอีกด้านหนึ่งคืออยากได้รองเท้าคู่ใหม่..เมื่อได้มาอยู่กับครอบครัว “เบนเวนูติ” ณ ที่นี้..เขาได้รับอะไรใหม่อีกหลายอย่าง นับแต่ ความรัก ความอบอุ่นจากพ่อแม่พี่น้อง รวมทั้งสิ่งใหม่ที่เขารักยิ่ง..คือไวโอลิน..เครื่องดนตรีคู่ชีวิตของเขาในเวลาต่อมา..
ครั้นเมื่อต้องกลับบ้านเมื่อสิ้นสุดฤดูหนาว..จิตใจของ “อเมริโก” เหมือนถูกแบ่งเป็นสองซีก..เขาเกิดความลังเลสงสัยว่า..ครอบครัวไหนกันแน่!..คือครอบครัวของเขา เขารักแม่ของเขา..แต่เขาก็รักครอบครัวใหม่ของเขาเช่นกัน../เขาจนใจโดยไม่รู้ว่าจะเลือกครอบครัวไหน..แต่แล้ว..ก็กลายเป็นแม่ของเขาที่เป็นคนทำให้เขาตัดสินใจได้ในที่สุด..เนื่องเพราะ เธอได้ปิดบังไม่ให้เขารู้ว่าครอบครัวอุปถัมภ์ได้ส่งจดหมายและฝากข้าวของมาให้โดยตลอด..และที่สำคัญที่สุด..แม่ได้ยึดไวโอลิน เครื่องดนตรีสุดรักของเขาไป..ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่า เป็นการพรากเอาความฝันอันยิ่งใหญ่ไปจากเด็กน้อย..
“เอ็งต้องตื่นจากความฝันเสียทีนะ ชีวิตของเอ็งอยู่ที่นี่ แม่ได้ทำสิ่งที่ดีสำหรับเอ็งแล้ว..” คำพูดและการกระทำของแม่ ทำให้อเมริโกตัดสินใจไปอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ เติบโตกลายเป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียงภายใต้ชื่อ “อเมริโก เบนเวนูติ”..เขาไม่เคยกลับไปเจอหน้าแม่ผู้ให้กำเนิดอีกเลย..กระทั่งแม่ได้ตายจากเขาไป..ที่สุดในวารวัยแห่งการเติบใหญ่.. “อเมริโก” ก็ได้กลับมาบ้านเกิดอีกครั้ง..เมื่อชีวิตครอบครัวไม่เหลือใครแล้ว..แต่เขาก็ปรารถนาที่จะมาค้นหานัยของความเป็นครอบครัว..ความหมายที่ขาดหายไป..ตลอดจนแก่นแท้แห่งจิตวิญญาณของชีวิตเหนือชีวิต..
ว่ากันว่า.. “ทุกการกระทำในนิยามความหมายของความรัก..มีความปรารถนาดีแฝงรอยอยู่ในนั้น..เหมือนดั่งที่ใครเคยกล่าวเอาไว้ว่า..ความรักมักมาพร้อมกับความไม่เข้าใจ..ในบางครั้งเราอาจรู้ว่าใครรักเรา แต่ทว่าในอีกหลายครั้ง..เราก็ไม่เข้าใจในการกระทำของคนที่รักเราเลย..”
ผมถือเอาหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือสุดพิเศษ..ที่จะกล่าวถึงเป็นของขวัญแห่งใจเปิดประเดิมปีใหม่..การเผชิญหน้ากันระหว่าง..ชะตากรรมกับความเป็นจริง..ยังคงเป็นเสน่ห์แห่งจริยธรรมของวรรณกรรมที่ล้ำลึกและสั่นสะท้านมโนสำนึกเสมอ เราอาจจะพลั้งพลาดกลายเป็นคนผิดบาป หรืออาจจะยอมก้มหน้าทุกข์ทนกับมหรสพอันต่ำทรามของชีวิต..เราอาจไม่รู้ค่าอะไรเลยตราบที่ยังไม่เคยเปิดเปลือยตัวตนอันเร้นลึกหรือฉาบฉวยบางเบาแก่ญาณสำนึกใดๆ..
สาระแห่งหนังสือเล่มนี้มีเหลี่ยมมุมของแสงสว่างทางปัญญาแฝงอยู่เพื่อรองรับความบริสุทธิ์แห่งจิตใจที่จะถูกค้นพบ..ระหว่างและท่ามกลางความเป็นไปแห่งจิตปัญญาอันแนบเนียนและสงบสว่างโดยแท้.. ถ้อยสำนวนแห่งการแปลความของ “นันทวรรณ์ ชาญประเสริฐ” งดงามและลึกซึ้งยิ่ง..มันนำไปสู่แก่นสารสำนึกที่ทรงคุณค่าที่สะอาดบริสุทธิ์..อันหาอื่นใดยากเสมือน..!!!
“ความรักมีหลายรูปแบบ..ไม่เฉพาะในแบบที่พวกเธอคิด/..อย่างการมาอยู่บนรถไฟกับเด็กซนๆเยอะแยะอย่างนี้ จะไม่เรียกว่าความรักหรอกหรือ..!”