วันที่ 10 ม.ค.67 ที่กระทรวง พม. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) กล่าวถึงกรณีผู้ก่อเหตุลวงพ่อและน้องสาวเที่ยวเขื่อนยัดโรงเหล็กถ่วงน้ำ2ศพ ซึ่งสะท้อนปัญหาสังคมไทยอย่างมาก ว่า ตนเองขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวญาติพี่น้อง และแม้เหตุการณ์ความรุนแรงจะเกิดขึ้นกับบุคคลในครอบครัวด้วยกันเองก็ตาม แต่ในครอบครัวของสังคมไทยทุกวันนี้ความรุนแรงดังกล่าวไม่ใช่ว่าจู่ๆจะเกิดเกิดขึ้นได้เพียงชั่วข้ามคืน ดังนั้นจึงขอฝากถึงพี่น้องประชาชนทุกคนว่าเมื่ออยู่ในครอบครัวอย่าถือคติว่าบ้านใครบ้านมัน เรื่องของใครเรื่องของมัน แต่ในวันนี้สิ่งเหล่านี้คงไม่สามารถคิดแบบเดิมได้อีกต่อไป
นายวราวุธ กล่าวว่า ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวไม่ว่าจะขึ้นกับเด็กสตรี หรือแม้แต่ในกรณีนี้ ที่เกิดขึ้นกับบิดาและน้องสาวของผู้ก่อเหตุเอง เชื่อว่าก็ต้องมีสาเหตุมาก่อน ไม่ใช่จู่ๆคิดจะทำแล้วทำเลย แสดงว่าจะต้องมีอาการที่เกิดขึ้นมา ดังนั้นตนคิดว่าเพื่อนบ้านไม่ว่าจะอยู่ซ้ายหรือขวา หรือคนในชุมชนนั้น ต้องใส่ใจซึ่งกันและกันให้มากขึ้น ดูว่าลักษณะของบ้านนี้ พฤติกรรมของนายคนนี้ ระยะหลังๆเขาแปลกไป เกิดอะไรขึ้นหรือไม่ ซึ่งเรากำลังพูดถึงการป้องกัน เพราะเมื่อเกิดเหตุไปแล้ว เราไม่สามารถไปแก้ไขหรือป้องกันได้ แน่นอนว่าเมื่อเกิดเหตุสลดเช่นนี้ ทีมสหวิชาชีพของกระทรวงพม. ก็จะเข้าไปให้การเยียวยาทางด้านจิตใจ แต่ส่วนเรื่องทางคดีเป็นขั้นตอนทางกฎหมายของทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ
โดย นายวราวุธ ยังกล่าวต่อว่า กระทรวงพม.มีศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน หรือ ศรส. ซึ่งสามารถส่งหน่วยเคลื่อนที่เร็ว ประกอบด้วยทีมสหวิชาชีพ นักจิตวิทยา เข้าไปเยียวยาทางด้านจิตใจของสมาชิกครอบครัวที่เหลืออยู่ แต่นั่นคือการแก้ปัญหา ซึ่งปัญหานั้นเกิดขึ้นแล้ว แต่ในความเป็นจริงเราไม่อยากแก้ปัญหา แต่เราอยากป้องกันมากกว่า โดยการเอาใจใส่ดูแลกันในครอบครัว คนเป็นพ่อแม่ต้องเข้าใจในสังคมที่เปลี่ยนไป คนที่เป็นบุตรหลานต้องเปิดใจให้กว้างรับฟังข้อมูลหลายๆอย่าง ขณะเดียวกันชุมชน สังคม ที่อยู่ใกล้กันก็ต้องเอาใจใส่ดูแลกันโดยสังเกตว่าลักษณะของคนข้างเคียงบ้านเราเปลี่ยนไปหรือไม่ มีปัญหาใดหรือไม่ พูดคุยกันได้หรือไม่
นายวราวุธ กล่าวว่า ในบางครั้งเมื่อเกิดเหตุขึ้นมาแล้วมันง่ายในการวิเคราะห์ว่าอาจจะเกิดเพราะเหตุนั้นเหตุนี้ แต่ในสังคมทุกวันนี้ ตนยังเชื่อว่ามีสิ่งที่รอจะเกิด ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือ การพูดคุยซึ่งกันและกัน ปรับทุกข์ พูดคุยกันในชุมชน ในครอบครัว และการเอาใจใส่เฝ้ามองของเพื่อนบ้าน และเมื่อคนในชุมชนได้ทราบเรื่องแล้วไม่รู้ว่าจะปรึกษากับใคร สามารถโทรมาได้ที่ ศรส. ฮอตไลน์ 1300 ของกระทรวง พม. หรือเจ้าหน้าที่อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด(พมจ.) ทั่วประเทศ แต่อย่างน้อยพูดคุยกับคนในชุมชน ผู้นำชุมชน หมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้าน หรือกำนัน อย่าเก็บไว้คนเดียว เมื่อทราบว่าการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมของบุคคลเพื่อนบ้านหรือที่เรารู้เห็น ก็ขอให้รีบแจ้ง
นายวราวุธ กลาวว่า วิธีการหยุดปัญหาสังคมได้ดีที่สุดคือการป้องกันและสร้างความตื่นตัวให้กับประชาชน และทุกปีกระทรวงพม.มีการรณรงค์ในวันยุติความรุนแรงในครอบครัว เด็กสตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ แต่อย่างไรก็ตามนโยบายภาครัฐตนย้ำอยู่เสมอว่าเป็นการตบมือข้างเดียว หากตบมือแล้วมืออีกข้างหนึ่งซึ่งหมายถึงพี่น้องประชาชนไม่ตอบรับในแนวนโยบาย หรือกฎหมายต่างๆ เสียงก็จะไม่ดัง ดังนั้นภาครัฐ โดยกระทรวงพม. ในวันนี้จะทำงานกันอย่างเต็มที่สายด่วน 1300 ศรส. เมื่อได้รับเรื่องแล้วเราบูรณาการงานของหลายหน่วยงานให้เป็นหน่วยเดียวกัน ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุและได้รับแจ้งเหตุเราจะส่งหน่วยเคลื่อนที่เร็วเข้าไป ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ส่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสหวิชาชีพ นักจิตวิทยาเข้าไปแก้ไขในเบื้องต้นก่อน เช่นในกรณีเหตุการณ์ที่เป็นข่าวนี้ ก็จะส่งทีมสหวิชาชีพเข้าไปปลอบขวัญของผู้ที่ได้รับผลกระทบเสียก่อน