วันที่ 8 ม.ค.2567 เวลา 10.30 น.ที่รัฐสภา นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ สว. กล่าวถึงการจัดทำงบประมาณปี 2567 ของรัฐบาล ว่า รัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญกับนโยบายรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ เพราะมีเวลาในการมาดูแลงบจำกัด ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ฟังดูแล้วไม่สมเหตุสมผลมากนัก เพราะในหลักการเวลาที่ผ่านมา 100 กว่าวันจะสังเกตเห็นว่า รัฐบาลขยันทำงานมากแต่ไม่ได้ให้เวลาเพียงพอในการดูแลงบประมาณ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในการบริหารประเทศ เมื่อมองในภาพรวมของงบฯ67 แล้วนอกจากที่ไม่ได้นำนโยบายสำคัญมาบรรจุในงบประมาณแล้ว ยังไม่ได้มองในระยะปานกลางหรือยาว ที่จะทำให้ประเทศไทยพัฒนาขึ้นกว่าเดิม เพราะเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศไทยคือต้องการให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือหลายคนใช้คำว่าพ้นจากประเทศกับดักรายได้ปานกลาง
      
"ณ เวลานั้นประเทศไทย จะต้องเติบโตพัฒนาอย่างน้อยร้อยละ 5 ต่อปี ถึงจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้ในปี 2580 แต่จากการคาดการณ์งบประมาณปานกลางของรัฐบาลปรากฏว่ายังไม่ถึงร้อยละ 5 ต่อปี แม้ในรายจ่ายงบประมาณจะมีการกำหนดไว้ว่าจะทำงบประมาณขาดดุลต่อเนื่องไป อีกประมาณร้อยละ 3.4 ต่อปีไปจนถึงปี 2570 ก็ตาม แต่ไม่ได้แสดงนัยยะอะไรที่ให้เห็นว่าการทำงบประมาณเหล่านั้นจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้โตได้ถึงร้อยละ 5 เพื่อเป็นพื้นฐานในการนำไปสู่ยุทธศาสตร์ของการทำให้ประเทศไทยไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว

เพราะงบการลงทุนมีเพียงร้อยละ 20.6 เท่านั้น และงบประมาณส่วนใหญ่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนหนทางเป็นหลัก แต่เรื่องอื่นๆ ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานในการพัฒนาประเทศก็สำคัญเช่นเดียวกัน ฉะนั้นควรสร้างความสมดุลของโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อทำให้ประเทศพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจในอนาคตข้างหน้าด้วยระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ เพิ่มเติมจากระบบปัจจุบัน"  นายสถิตย์ กล่าว
        
นายสถิตย์ กล่าวต่อว่า อีกงบที่น่าสังเกตคืองบการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น ที่ควรให้งบประมาณกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีรายได้น้อยมากกว่าให้งบประมาณกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีรายได้ดีอยู่แล้ว และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีรายได้ดีอยู่แล้วหาทางจัดเก็บรายได้ของตนเองให้มากขึ้น หากโครงสร้างของงบประมาณยังเป็นอย่างนี้ การปกครองส่วนท้องถิ่นก็ไม่เต็มศักยภาพ การกระจายไปสู่ท้องถิ่นที่ยากจนก็เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นโครงสร้างจึงต้องรื้อกันขนานใหญ่ เพื่อให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจ