“โฆษกเสมา”เย้ย “วิโรจน์” อภิปรายงบฯศธ.มีความจริงแค่ครึ่งเดียว ยันจัดงบอาชีวะตามศักยภาพจังหวัด ไม่เกี่ยวจำนวน สส.ภท. ไม่สนเหน็บรมต.นายพลทำศธ.ถดถอย บอกขอให้ดูผลงาน
เมื่อวันที่ 5 ม.ค.2567 ที่กระทรวงศึกษาธิการ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรมว.ศึกษาธิการ ในฐานะโฆษกประจำกระทรวงศึกษา พร้อมด้วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และเลขาธิการคณะกรรมการอาชีวะศึกษา ชี้แจงข้อเท็จจริง เพื่อตอบโต้การอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2567 ของนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในสัดส่วนงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการ โดยเฉพาะการจัดสรรงบประมาณให้กับสถานอาชีวะสถานศึกษา ที่นายวิโรจน์กล่าวหาว่า มี 7 ใน 8 สถานศึกษาที่ได้รับงบประมาณมากที่สุด เป็นสถานอาชีวะศึกษาที่มี สส.พรรคภูมิใจไทยว่า การอภิปรายดังกล่าว ได้สะท้อนความไม่เข้าใจในการจัดทำงบประมาณในภาพรวม เพราะกระทรวงศึกษาธิการ มีขั้นตอนการของบประมาณที่แตกต่าง โดยแต่ละสถานศึกษา จะต้องเสนองบประมาณผ่านคณะกรรมการระดับเขตพื้นที่ขึ้นมาก่อน และการจัดทำงบประมาณในครั้งนี้ ก็ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ก่อนการจัดตั้งรัฐบาลเสร็จสิ้น พร้อมยกตัวอย่างบางพื้นที่เช่นในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นอกจากจะมี สส.พรรคภูมิใจไทยแล้ว ก็มี สส.พรรคก้าวไกลด้วยเช่นกัน แต่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีสถานอาชีวะศึกษาที่เข้มแข็งมาก มุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจยานยนต์ มีการลงนาม MOU ร่วมกับบริษัทยานยนต์ชั้นนำ หรือจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งมีอาชีวะศึกษาระบบทวิภาคีที่เข้มแข็งมาก สามารถสอนนักศึกษาไปเป็นแอร์โฮสเตท หรือช่างซ่อมบำรุงอากาศยาน และสถานอาชีวะศึกษาที่ได้รับงบประมาณมาก ก็เป็นจังหวัดที่มีประชากรจำนวนมากทั้งสิ้น เช่น จังหวัดบุรีรัมย์ ที่ถูกนายวิโรจน์อภิปรายพาดพิง ก็มีประชาการกว่า 1,500,000 คน และโรงเรียนอาชีวะศึกษา ก็มีจำนวนตามสัดส่วนประชากรของจังหวัด
นายสิริพงศ์ ยังชี้แจงถึงกรณีที่นายวิโรจน์อภิปรายถึงผลคะแนน PISA ของนักเรียนไทยว่า การอภิปรายของนายวิโรจน์นั้น ก็ได้ให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน เพราะคะแนนค่าเฉลี่ยที่นายวิโรจน์นำมาเทียบนั้น ได้นำคะแนนในกลุ่มโรงเรียนสาธิต มีคะแนนสูงกว่าสิงคโปร ซึ่งก็เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียว เพราะนายวิโรจน์ พยายามกล่าวอ้างว่า กลุ่มโรงเรียนสาธิตจัดการเรียนการสอนได้ดีกว่า ทั้งที่ ในความเป็นจริงโรงเรียนในกลุ่มวิทยาศาสตร์จุฬาภรณ์ หรือโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ก็สามารถทำคะแนนได้สูกว่าค่าเฉลี่ยของสิงคโปรเช่นเดียวกัน
นายสิริพงศ์ ยังเห็นว่า นายวิโรจน์พยายามด้อยค่าการศึกษาไทยด้วยการระบุว่า หลักสูตรล้าสมัย ก็เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียว เพราะหลักสูตรแกนกลางนั้น ก็ล้วนเป็นวิชาที่มีความสำคัญในการเรียน แต่การล้าสมัย หรือไม่ล้าสมัย ก็ขึ้นอยู่กับการจัดกเรียนการสอน ของแต่ละสถาบันการศึกษา ที่กระทรวงศึกษาธิการได้เปิดกว้างให้แต่ละสถานศึกษา สามารถจัดการเรียนการสอนของตนเองได้ เช่น หลักสูตรอิงลิชโปรแกรม, มินิอิงลิชโปรแกรม, ห้องเรียนที่เน้นการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ หรือ Gifted, ห้องเรียนที่เน้นภาษาทั้งภาษาจีน และภาษาญี่ปุ่น ซึ่งทั้งหมดก็อยู่ภายใต้หลักสูตรแกนกลาง ดังนั้น การศึกษาไทย จึงไม่ได้ด้อยการพัฒนาเหมือนที่นายวิโรจน์ได้กล่าวหา แต่ยอมรับว่า การศึกษาไทย ยังมีความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ที่ยังมีความไม่เสมอภาคทางการศึกษา แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาก็ได้ให้ความสำคัญ ผ่านนโยบาย Any Where: Any Time ที่กระทรวงศึกษากำลังดำเนินการ หรือแม้แต่ที่นายวิโรจน์ ได้อภิปรายพาดพพิงถึงโรงเรียน/สถานศึกษาขนาดเล็ก พร้อมยังกล่าวหาว่า เป็นภาระทางงบประมาณ มีปัญหา จึงขอให้นายวิโรจน์ชี้แจงให้ชัดเจนว่า นายวิโรจน์ มีแนวคิดจะยุบสถานศึกษาขาดเล็กหรือไม่ แต่กระทรวงศึกษาธิการ ในยุคของพลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกธิการ เข้าใจดีกว่า แม้การยุบโรงเรียนขนาดเล็กจะช่วยลดภาระได้ แต่กระทรวงศึกษาธิการ ก็จำเป็นต้องทำให้การศึกษาไทยเดินหน้า โดยทำให้โรงเรียนและสังคม อยู่ร่วมกันได้ด้วย เพราะการยุบโรงเรียนขนาดเล็ก จะกระทบต่อชุมชนจำนวนมาก กระทรวงศึกษาธิการ จึงพยายามเพิ่มโรงเรียนคุณภาพ ในระดับตำบล และอำเภอ เพื่อเปิดทางเลือก และเตรียมสถานศึกษาให้กับเยาวชนที่สมัครใจย้ายก่อน ดีกว่าการยุบโรงเรียนขนาดเล็ก และทำให้ผู้ปกครองและนักเรียนไม่ทราบว่า จะต้องไปศึกษาต่อที่สถาบันใด
เมื่อถามว่ากรณีที่นายวิโรจน์ อภิปรายโจมตีงบประมาณดำเนินงานและรายจ่ายอื่น ๆ ของกระทรวงศึกษาธิการ และยังนำไปเปรียบเทียบกับกระทรวงสาธารณสุขนั้น นายสิริพงศ์ กล่าวว่า บริบททั้ง 2 กระทรวงมีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะภาระหน้าที่ ที่กระทรวงสาธารณสุข นอกจากจะมีงบประมาณที่จะต้องจ่ายให้บุคลากรแล้ว ยังสามารถหารายได้จาก สปสช.ได้ แต่สถานศึกษามีความต่างกัน เพราะโรงเรียนได้เงินอุดหนุนตามจำนวนหัวของนักเรียนไม่ว่าภาระกิจมากหรือน้อย ดังนั้น เงินนอกงบประมาณของสถานศึกษา จึงไม่ได้มีมากเหมือนกระทรวงสาธารณสุข ดังนั้น งบประมาณดำเนินงานของกระทรวงศึกษาธิการ จึงเปรียบเสมือนเป็นเส้นเลือดใหญ่ของงบประมาณ โดยมีเงินจากกองทุนเสมอภาคทางการศึกษา เป็นงบประมาณส่วนเติมเต็มให้กับโรงเรียนที่ยังขาดโอกาส โดยจะตัดงบประมาณดำเนินงานให้เหลือเพียงกองทุนเสมอภาคทางการศึกษาไม่ได้ ดังนั้น จึงสะท้อนว่า ข้อมูลการอภิปรายของฝ่ายค้านยังคลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริงมาก และขอวิงวอนให้นายวิโรจน์ นำข้อเท็จจริงที่ครบถ้วนมาประกอบการทำหน้าที่พิจารณางบประมาณด้วย
เมื่อถามว่านายวิโรจน์กล่าวหากระทรวงศึกษาธิการในยุคพลตำรวจเอกเพิ่มพูน แต่การศึกษากลับถดถอย นายสิริพงศ์ กล่าวว่า ไม่ได้สำคัญว่ารัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการจะชื่ออะไร แต่สิ่งสำคัญที่สามารถเห็นได้จากนโยบายทางการศึกษาของพล.ต.อ.เพิ่มพูน คือ รู้ปัญหาจริง และมีแนวคิดแก้ปัญหาการศึกษาอย่างยั่งยืนมากกว่า