วันที่ 4 ม.ค.2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท วาระแรก วันที่สอง ต่อมาเวลา 17.50 น. นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ชี้แจงในส่วนของงบประมาณกระทรวงกลาโหมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่า ที่ตั้งคำถามว่ายุควิกฤตในรัฐบาลปัจจุบันทำไมไม่ลดงบประมาณลงในข้อเท็จจริงนั้นปรับลดแล้ว แต่เป็นไปภายใต้ข้อจำกัดและสถานการณ์ของประเทศ ภัยคุกคาม ซึ่งการจัดงบประมาณของกระทรวงกลาโหมนั้นเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่ลดลง  คือ เพิ่มขึ้น 1.2%-1.3% หากเทียบกับราคาเงินเฟ้อ หรือสัดส่วนในภาพรวมของงบประมาณแผ่นดินเหมือนกับไม่ได้ขึ้น และเมื่อเทียบกับจีดีพีตัวเลขงบประมาณของประเทศที่พัฒนาแล้วที่จัดงบ 3% แต่ของไทยมีเพียง 1.2% 

รมว.กลาโหม กล่าวว่า สำหรับแผนการปรับลดกำลังพลนั้น ความมั่นคงอยู่ที่ขวัญกำลังใจและยุทโธปกรณ์ หากปรับลดแบบทันด่วนก็จะกระทบต่อขวัญกำลังใจ ดังนั้นต้องใช้เวลาในการปฏิรูปกองทัพ เพื่อให้ลดเร็วกว่านี้ ปัจจุบันนายพลมี 700 คน เพราะฉะนั้นในปี 2570 จะลดลงเหลือ 380  คน เพื่อให้เร็วก็จะทำโครงการเออรี่รีไทร์ นายพลที่จะเข้าโครงการน่าจะรวดเร็วไม่ถึงปี 2570 ซึ่งจะไม่เพิ่มภาระบประมาณ ขณะที่ระเบียบกระทรวงกลาโหมจะสร้างพลเรือนพันธุ์ใหม่ บางหน้าที่จะไม่ติดยศ เช่น หมอ แพทย์ เจ้าหน้าที่วิเคราะห์งบประมาณ เจ้าหน้าที่ธุรการ  เพื่อปรับภาพลักษณ์ให้นุ่มลง และจะลดภาระงบประมาณ

"ส่วนที่มองว่างบประมาณด้านกำลังพลยังสูง หากจะทำให้เร็วต้องปลด แต่ทำไม่ได้ ผมพึงมาทำงาน 3 เดือนต้องปลด คนนะไม่ใช่อิฐ เพราะจะทำให้เสียขวัญกำลังใจ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ปีนี้จึงไม่เห็นงบบุคลากรลดลง แต่ผมมีแผนการปรับกำลังพล คือ ยุบหน่วยที่ไม่จำเป็น ควบรวมหน่วยที่ภารกิจใกล้เคียงกัน และ ปิดอัตราไม่บรรจุเพิ่ม เมื่อบุคลากรเกษียณอายุราชการ” นายสุทิน กล่าว 

นายสุทิน กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องการเกณฑ์ทหารก็จะใช้วิธีการสมัครใจ ด้วยใช้มาตรการแรงจูงใจ เช่น เงินเดือนทหารเกณฑ์รับเต็มจำนวน ไม่หัก ได้เรียนต่อเนื่องหลังปลดประจำการ ในระบบที่ออกแบบร่วมกันในศูนย์การเรียนรู้ในค่ายทหาร มีโอกาสรรับราชการในหน่วยงานทหาร และโรงเรียนตำรวจ ในโควตา 80%  รวมถึงได้โอกาสรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเกียรติยศ อย่างไรก็ดีการรับสมัครทหารเกณฑ์จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วย

นายสุทิน กล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นเรื่องเรือดำน้ำต้องขอความเป็นธรรม เพราะรัฐบาลก่อนเป็นคนทำ แต่ตนเข้ามาแก้ปัญหา แต่เมื่อพิจารณาแล้ว ไม่ว่าแก้อย่างไรก็โดนด่า เช่น รับเรือดำน้ำจีน จะมีปัญหาเรื่องผิดสัญญา แต่หากไม่เดินหน้า ตนโยนหินถามทางว่า ให้ใช้เรือฟริเกต แต่ก็ถูกด่า แม้จะมีคนระบุว่าให้ยกเลิกสัญญา แต่หากยกเลิกแล้วได้เงินที่จ่ายไปหลายงวดจำนวน 6,000 ล้านบาทคืน ตนจะทำแต่วันนี้ ไม่สามารถได้คืน ทั้งนี้เรื่องดังกล่าวต้องเห็นใจกองทัพเรือ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับจีนด้วย เราไม่ได้ง้อ แต่ต้องคำนึงถึงยุทธศาสตร์ที่เราจะทำร่วมกันกับจีนที่จะมีประโยชน์ร่วมกัน 2 แสนล้านบาท ถึงคิดเรื่องนี้อย่างรอบคอบ แต่หากนำปัญหาเรือดำน้ำมาเป็นข้อขัดแย้งไม่คุ้ม

“วันนี้จึงได้ถามอัยการสูงสุดในข้อตกลงที่ทำไว้ 2-3 ปีก่อนถ้าจะยกเลิก และทำต่อ จะเดินหน้าทางไหนถึงไม่ผิด ผมเชื่อว่าจะไม่เกิน 2 วันทางอัยการสูงสุดจะตอบมา เราก็จะได้แนวทางเดิน ซึ่งมีฐานรองรับคำอธิบายไปยังประเทศมหามิตร จะได้ไม่โกรธเรา มันจะจบอย่างไรก็รอทางอัยการสูงสุด อาจจะเดินหน้าแบบเดิมแต่ต้องไม่เสียเงิน 6,000 ล้านบาท แต่หากผิดสัญญาจีนต้องคืนเงิน แต่มีปัญหาในระยะเริ่มต้นคือไทยเคยผิดข้อตกลง เพราะจ่ายเงินไม่ตรงในช่วงที่มีโควิด” นายสุทิน กล่าว 

รมว.กลาโหม ชี้แจงถึงการกู้เรือหลวงสุโขทัยด้วยว่า การดึงเรือขึ้นมา ทีโออาร์ต้องกู้เรือในสภาพที่สมบูรณ์ทั้งลำ ไม่เอาชิ้นส่วน เพื่อพิสูจน์หาหลักฐาน แต่โคลนทะเลท่วมเรือจำเป็นต้องนำโคลนออก ซึ่งไม่ใช่การทำลายหลักฐาน เพราะตนเชื่อว่าหลักฐานไม่สามารถทำลายได้ด้วยการล้างโคลน ตนยืนยันว่าการดำเนินการไม่มีนอกไม่มีในแน่นอน ส่วนประเด็นกองทัพเรือที่มีพันธกิจที่เกี่ยวกับรันเวย์ที่อีอีซี รวมถึงการกู้เงิน 1.6 หมื่นล้านบาท  ตนทราบข้อเท็จจริงว่ากองทัพเรือไม่อยากทำ แต่รัฐบาลขอร้องให้ช่วยเป็นหน่วยงานขับเคลื่อนอีอีซี โดยให้รับผิดชอบสนามบินอู่ตะเภา ที่กองทัพเรือเป็นเจ้าของพื้นที่ โดยทำให้เป็นสนามบินพาณิชย์ รวมถึงใช้เนื้อที่กองทัพเรือน 7,000 ไร่เพื่อทำอีอีซี

“กองทัพต้องตั้งงบประมาณเพื่อลงโครงการอีอีซี ทั้งที่ไม่เกี่ยวข้อง ทำให้งบประมาณที่เพิ่มขึ้นเพื่อนำมาใช้ในโครงการอีอีซี รวมถึงดำเนินการกู้เงินเพื่อใช้ในโครงการ ดังนั้นอีอีซีเป็นภารกิจที่จำเป็น ซึ่งไม่ใช่การเพิ่มงบทั่วไป และไม่ต้องกังวลเรื่องความไม่โปร่งใสเพราะบอร์ดอีอีซีจับตาดู” รมช.กลาโหม กล่าว

นายสุทิน ชี้แจงต่อประเด็นที่วิจารณ์เรื่องการซื้ออาวุธระบุว่ายุคสุทินดาวน์น้อย เพราะต้องการผ่อนนาน แต่ข้อเท็จจริงคือ มีเม็ดเงิน 15% ต้องจ่ายล่วงหน้าที่เหลือต้องจ่ายจริง ทั้งนี้ขอเงินดาวน์ไป 20% แต่สำนักงบประมาณตัดเหลือ 15% เพราะงบประมาณปี 67 เหลือเวลาใช้งบเพียง 4 เดือน กังวลว่าใช้งบประมาณไม่ทัน ไม่ใช่กรณีดาวน์น้อย เพื่อผ่อนนาน  ขณะที่ประเด็นทหารกองพลพัฒนา ตั้งงบน้ำซ้ำซ้อนกับแหล่งน้ำอื่น 30% ทำให้คนเข้าใจผิด เพราะนำงบน้ำบาดาลมาเปรียบเทียบ ทั้งที่ยืนยันว่าตั้งงบไม่ซ้ำซ้อน เพราะจะสำรวจพื้นที่ก่อน

“ผมเป็นรมว.กลาโหม ไม่ลืมจุดยืนเดิม ที่เคยมองกองทัพและอภิปรายไว้อย่างไรบ้าง แต่ต้องการให้กองทัพทันสมัย พยายามทำทุกอย่าง แต่ต้องใช้เวลา กลยุทธ์ในการปรับเปลี่ยนขอเวลาพิสูจน์ แต่ยืนยันไม่เข้ามาเพื่อซูเอี๋ย หรืออวยกองทัพ” นายสุทิน กล่าว