เรื่อง : ชนิดา สระแก้ว / ภาพ :พสุพล ชัยมงคลทรัพย์
หมายเหตุ: "ชัยธวัช ตุลาธน" หัวหน้าพรรคก้าวไกล และผู้นำฝ่ายค้าน ในสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ “สยามรัฐรายวัน” เปิดแนวทางการทำงานของพรรคร่วมฝ่ายค้าน และพรรคก้าวไกล ที่ตั้งเป้าสู่ “ฝ่ายค้านเชิงรุก” ในทุกๆด้าน ทั้งการผลักดันกฎหมาย ดึงประชาชนเป็นแนวร่วมตรวจสอบรัฐบาล รวมถึงการเตรียมพร้อมเข้าสู่ “ฝ่ายบริหาร” ปูทางนั่ง “รัฐบาล” ที่ดีให้กับประชาชนในการเลือกตั้งครั้งหน้า
-แผนการทำงานของพรรคก้าวไกล ในฐานะพรรคแกนนำฝ่ายค้าน ในปีหน้า จะเน้นเรื่องอะไรบ้าง และอะไรคือตัวชี้วัด "ผลสัมฤทธิ์"
ต้องทำใน 2 ระดับ คือพรรคร่วมฝ่ายค้าน และพรรคก้าวไกล ที่จะทำร่วมกันในการตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหาร ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาร่างกฎหมายสำคัญๆของฝ่ายบริหาร การพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณ ประจำปี 2567 และร่างพ.ร.บ.เงินกู้ 5แสนล้านบาท สำหรับดำเนินนโยบายดิจิทัลวอลเลต ต้องทำงานในเชิงคุณภาพให้ได้อย่างเต็มที่ ทั้งกลไกลในการตรวจสอบผ่านคณะกรรมาธิการ การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามมาตรา 151 และมาตรา 152 ซึ่งจะไม่ใช้สำนวนโวหาร
หลังปีใหม่จะหารือร่วมกับพรรคร่วมฝ่ายค้าน เพื่อกำหนดแนวทางและแผนงานว่าเห็นตรงกันอย่างไร ซึ่งการตรวจสอบอยากให้ฝ่ายค้านเน้นเนื้อหามากกว่าเน้นประเด็นโจมตีกันทางการเมือง ตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชน และสาธารณะเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่เป็นการตรวจสอบเพื่อที่จะเล่นแง่กันทางการเมือง การต่อรองผลประโยชน์ทางการเมือง หรือผลประโยชน์ส่วนตัวของใคร เราอยากเห็นแบบนั้น
นอกจากนี้จะมีกิจกรรมของพรรคร่วมที่จะเปิดเวทีพบปะกับประชาชนในประเด็นสำคัญ ในช่วงปิดสมัยประชุมด้วย แต่สิ่งที่อยากเห็นคุณภาพการทำงานของฝ่ายค้านคือการแสวงหาความร่วมมือกันในสภาฯโดยไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ในการผลักดันวาระที่เป็นประโยชน์กับส่วนรวม อยากให้เอาเนื้อหาเป็นตัวตั้ง ฝ่ายค้านเห็นด้วย ฝ่ายรัฐบาลรับได้
ส่วนในระดับของพรรคก้าวไกลก็ยังมีกลไกในการตรวจสอบ และผลักดันสิ่งที่เป็นประโยชน์กับสังคม และการแก้ปัญหาให้กับประชาชน ผ่านคณะกรรมาธิการของสภาฯ ก็มีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบด้วย เช่น กมธ.ติดตามการใช้งบประมาณ เป็นต้น
-การเมืองใหม่ ในสายตาของพรรคก้าวไกล วันนี้คืออะไร
สิ่งที่สังคมไทย และประชาชนอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพของการเมืองโดยเฉพาะการทำงานของนักการเมือง พรรคการเมือง อยากเห็นการทำงานที่มีคุณภาพ ในเชิงเนื้อหา ทักษะการทำงาน และประสิทธิของการทำงานให้มากขึ้น เกิดการแข่งขันกันในเชิงนโยบาย เป็นสิ่งที่พรรคก้าวไกลอยากจะเห็นพรรคการเมืองมีความคิด ความเชื่อแตกต่างกันได้ แต่กระบวนการทางประชาธิปไตยในการแข่งขันกันตามกฎ กติกาที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกัน แทนที่จะใช้ปัจจัยอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นอิทธิพลทางการเมือง เรื่องเงิน หรือใช้วิธีสร้างความเกลียดชังทางการเมือง เปลี่ยนมาเป็นการแข่งกันทำงาน ต่อสู้กันทางความคิด ต่อสู้กันทางนโยบายว่าข้อเสนอของแต่ละพรรคแบบไหนที่ประชาชนเห็นว่าดีที่สุด จะช่วยยกระดับทางการเมืองไปพร้อมกัน แม้ว่าจะเห็นไม่ตรงกันทุกเรื่อง ผมคิดว่าเป็นการเมืองแบบใหม่ที่ทุกคนอยากจะเห็น
ไม่ใช่ว่าการเมืองแบบใหม่ต้องคิดเหมือนพรรคก้าวไกล พรรคพลังประชารัฐ พรรคเพื่อไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ ถ้าแต่ละพรรคแข่งกันด้วยเนื้อหา แข่งกันด้วยนโยบาย ยกระดับการทำงานของสส. สมาชิกพรรค เป็นสิ่งที่คนอยากเห็น สังคมไทยควรจะก้าวไปถึงจุดนั้นได้แล้ว ความคิดเห็นแตกต่างกันไม่มีปัญหา เชื่อว่าจะหาข้อยุติได้ สุดท้ายสังคมได้ประโยชน์
แทนที่จะทำงานทางการเมืองนำไปสู่ความขัดแย้ง และเกลียดชังกันเหมือน 10 กว่าปีที่ผ่านมา เช่นการป้ายสีกันทางการเมือง กลุ่มคนนั้นกลุ่มนี้เป็นพวกล้มเจ้า การต่อสู้กันแค่ใครเอารัฐประหาร ไม่เอารัฐประหาร แต่วันนี้เราอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน อนาคตควรจะมีการแข่งขันกันทางความคิดที่ลึกกว่านั้น ลงรายละเอียด เมื่อเรามีความเห็นว่าจะอยู่ร่วมกันในระบบรัฐสภา ระบบประชาธิปไตย ไม่ควรอยู่ในระบบรัฐประหาร ก็ต้องมีการพัฒนาระบบประชาธิปไตยกันในทุกๆด้านร่วมกัน
-ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากสมาชิกที่มาจากเรื่องส่วนตัว มองว่ากระทบมากน้อยแค่ไหน กับความคาดหวังของสังคม
ปฏิเสธไม่ได้ว่ากระทบต่อความเชื่อมั่น คนที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลคาดหวังกับนักการเมืองสูงกว่าพรรคการเมืองอื่น จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์ค่อนข้างสูง ถูกเรียกร้องสูง ดังนั้นพรรคต้องทำงาน และสร้างนักการเมืองให้ได้อย่างที่เราพูดไว้จริง ๆ ตามที่ประชาชนคาดหวัง เป็นความท้าทายและเป็นโจทย์ที่สำคัญของพรรคก้าวไกล เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นก็ต้องสรุปบทเรียนว่าทำอย่างไรจะไม่ทำให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต หากเกิดขึ้นจะมีกระบวนการจัดการปัญหาภายในพรรคที่ดีกว่านี้จะต้องเป็นอย่างไร ซึ่งก็อยู่ในระหว่างการพัฒนาภายในพรรค
แต่เราก็พิสูจน์ให้สังคมเห็นว่าเราไม่ซุกปัญหาไว้ใต้พรม ต้องไม่สร้างวัฒนธรรมในการปกปิดความผิด เพราะกลัวจะเสียชื่อเสียงต่อองค์กร ต้องกล้าที่เผชิญหน้าแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น และได้พิสูจน์แล้วว่า กล้าที่จะขับสส.ออกจากพรรคโดยไม่ได้เสียดายตำแหน่ง และจำนวนสส. อย่างน้อยที่สุดเราก็ได้พิสูจน์แล้ว และเป็นการประกาศให้ผู้ปฏิบัติการของพรรคทุกระดับเห็นว่าพรรคเอาจริงเรื่องเหล่านี้ และต้องขอบคุณสังคมที่ช่วยตรวจสอบนักการเมือง
-การทำหน้าที่ "ฝ่ายค้านสร้างสรรค์" จากนี้ไปจะต้องเป็นอย่างไร เราถอดบทเรียนจากการเป็นฝ่ายค้าน ตลอดสี่ปีที่ผ่านมา มีอะไรที่เป้นจุดแข็งและจะปรับปรุงอย่างไร
เราจะเป็นฝ่ายค้านเชิงรุก การทำงานของพรรคก้าวไกลในสมัยที่ผ่านมาได้พิสูจน์ผ่านเวทีสภาฯให้ประชาชนยอมรับในเชิงคุณภาพการทำงานแล้ว แต่สมัยนี้ต้องรักษามาตรฐานการเป็นฝ่ายค้านให้ไม่น้อยกว่าเดิม หรือดีกว่าเดิม แต่เราจะไม่จำกัดบทบาทแค่ตรวจสอบฝ่ายบริหารเท่านั้น สิ่งที่เราวางไว้นอกจากการทำงานฝ่ายค้านที่มีคุณภาพ แต่เราจะเป็นฝ่ายค้านเชิงรุกด้วย คือแม้ว่าเราจะไม่เป็นฝ่ายบริหาร แต่เราจะใช้กลไกและบทบาทที่เรามีผลักดันวาะที่สำคัญๆในสังคมได้
ไม่ว่าจะผ่านเวทีสภาฯ การเสนอร่างกฎหมายให้ได้แม้จะเป็นฝ่ายค้าน หรือการผลักดันความคิด และข้อเสนอของพรรค หรือนโยบายอะไรที่สำคัญกับพี่น้องประชาชนที่อยู่นอกสภาร่วมกันขับเคลื่อน อะไรที่สามารถผลักดันได้ก็ทำ อะไรที่ยังไม่สามารถผลักดันได้ก็ต้องเตรียมพร้อมทำความคิดให้สังคมและประชาชนเข้าใจว่าข้อเสนอของพรรคก้าวไกล คืออะไร ในทางปฏิบัติคืออะไร และมองเห็น
ไม่ใช่แค่หลักคิดใหญ่ ๆแต่ทำให้ประชาชนเห็นว่าในรายละเอียด ในการปฏิบัติเพื่อเพื่อบรรลุนโยบายแต่ละเรื่อง คืออะไร มีโรดแมปอย่างไร ถ้าจะทำให้เกิดขึ้นจริง จะต้องเกี่ยวกับกฎหมายกี่ฉบับ กฎกระทรวง ระเบียบกระทรวง มติครม. ต้องใช้งบประมาณเท่าไหร่ จะเอามาจากไหน ซึ่งสามารถขับเคลื่อนไปพร้อมกับการดึงประชาชนมีส่วนรวมได้ด้วย
นอกจากนั้นต้องเตรียมทีมงานที่พร้อมจะบริหาร วาระสำคัญของพรรคที่จะเสนอต่อสังคมด้วย เพราะฉะนั้นการเป็นฝ่ายค้านสร้างสรรค์ และฝ่ายค้านเชิงรุก นอกจากการทำงานให้มีคุณภาพในสภาฯแล้ว เป้าหมายหลักคือการทำงานเพื่อเตรียมพร้อมการเป็นรัฐบาลที่ดีที่สุดให้กับประชาชน ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
-มองย้อนกลับไป ถึงการหน้าที่ "ฝ่ายค้าน" ของพรรคก้าวไกล ที่ผ่านมา ในสมัยรัฐบาลที่แล้ว อะไรคือ "จุดแข็ง" และอะไรคือ "จุดอ่อน" ของเรา
จุดอ่อนคือความคิด ความเชื่อ อาจจะยังไม่มั่นใจว่ามีความพร้อมหรือไม่ที่จะบริหารประเทศ แม้ว่าจะเห็นด้วยกับสิ่งที่เราเสนอ กับสิ่งที่เราคิด แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนจำนวนหนึ่งที่ยังไม่วางใจ 100 เปอร์เซ็นต์ว่าถ้าก้าวไกลมาเป็นรัฐบาลจะทำสิ่งที่พูดและเสนอได้จริงๆ ถือเป็นจุดอ่อน และความท้าทายมาก ๆสำหรับการทำฝ่ายค้านเชิงรุก เพื่อทำให้คนเชื่อมั่น
ทั้งในสิ่งที่เราเสนอความเห็นความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ เห็นความพร้อมของคนที่จะมาบริหาร เป็นเป้าหมายที่เราต้องทำให้ได้ ส่วนจุดเด่นในเชิงการทำงานที่ตรงไปตรงมา ไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัวแอบแฝง คุณภาพในแง่เนื้อหาสาระ และคุณภาพของคนทำงานของพรรคดีอยู่แล้ว แต่ต้องพัฒนาให้ดีกว่านี้
ผมเชื่อมั่นว่าพรรคก้าวไกลในปัจจุบันมีความแข็งแกร่งกว่า 4 ปีอย่างมาก ทั้งบุคลากร ความเข้าใจในการดำเนินนโยบาย ความแข็งแกร่งคุณภาพของคน เราเติบโตขึ้นในทั้งปริมาณของสส. ประชาชนที่เข้ามาร่วมทำงานกับพรรค อาสาสมัคร คนที่มาช่วยกันพัฒนานโยบายคนที่อยู่ข้างหลัง เราขยายตัวในเชิงปริมาณและคุณภาพเพิ่มขึ้นอย่างมาก หลังบ้านสส.มีคุณภาพดีขึ้นเยอะ จะดีขึ้นอีกในการเลือกตั้งครั้งหน้า
และสำคัญมากคือการยกระดับการทำงานภายในพรรค การอบรมความรู้ความสามรถของทีมงานทุกระดับ ทำอย่างต่อเนื่องและเข้มข้นในปีนี้ จะให้ความสำคัญกับงานนโยบายมาก จะยกระดับการทำงานของตัวเอง นอกจากจัดทีมงานในการรับผิดชอบในแต่ละเรื่องแล้ว จะมีกิจกรรมทางสาธารณะมากขึ้นด้วย โดยกลางปีนี้จะจัดประชุมใหญ่เชิงนโยบายประจำปี จัดใหญ่ปีละครั้ง ไม่นับกิจกรรมย่อย ๆจัดทั้งในกทม.และแยกไปใน 4 ภูมิภาค เป็นเวทีในการเอาวาระที่พรรคให้ความสำคัญ มาประชุมสัมมนากันทั้งสส.ทีมนโยบาย นักวิชาการ ภาคประชาสังคม หรือนำผุ้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในการนำนโยบายมาแลกเปลี่ยนถกเภียงกันว่าสิ่งที่พรรคเสนอไปถึงไหนแล้ว อยากจะเห็นแบบไหน พร้อมๆกับการตรวจสอบว่าฝ่ายบริหารทำอะไรไปแล้วบ้าง เป็นสิ่งที่เราจะริเริ่มในปีนี้
ส่วนการอภิปรายไม่ไว้วางใจเข้มข้นแน่นอนในการติดตามตรวจสอบในเชิงลึก ตรวจสอบจริง ๆไม่ใช่ติดตามตรวจสอบเพื่อแบล็คเมล หรือต่อรองผลประโยชน์ เราก็ยังคงทิศทางเดิม ตรวจสอบตรงไปตรงมา ถ้าพบข้อมูลเราก็ต้องตรวจสอบ อภิปรายไมไว้วางใจ หรือไปยื่นผ่านกลไกลต่างเราทำแน่นอน
-การเมืองในฉากต่อไปจะเป็นการต่อสู้ระหว่างพรรคก้าวไกล กับพรรคเพื่อไทย แทนการต่อสู้การเมืองสองขั้วในอดีต
เป็นไปได้หมด ซึ่งเพื่อไทย และก้าวไกลมีบางอย่างที่เราเห็นตรงกัน แต่ดีกรีไม่เท่ากัน บางเรื่องที่เห็นต่างกัน เป็นเรื่องธรรมดา แต่เป็นไปได้ เพราะหลังเลือกตั้งปี 2566 คิดว่าสมการของเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลที่ดีที่สุดสำหรับสังคมไทย ที่จะผลักดันให้ประเทศเดินหน้าไปได้ และคืนความปกติของประเทศให้ได้ ผลักดันให้ประเทศมีอนาคตที่ดีกว่านี้ได้ เราคิดหวังอย่างนั้นจริง
แต่ถ้าสังคมจะมองว่าพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทยจะเป็นคู่แข่งกัน เพราะถือเป็นพรรคอันดับหนึ่งและอันดับสอง ในการเลือกตั้งครั้งหน้าก็เป็นไปได้สูง เพียงแต่ว่าใครจะหนึ่ง ใครจะสอง ถ้าทั้งสองพรรคยังรักษาคุณภาพ ไม่เกิดปัญหารุนแรงภายในพรรค ก็จะเป็นพรรคอันดับหนึ่ง อันดับสองอยู่ เราก็มองพรรคเพื่อไทยเป็นคู่แข่ง แต่ไม่ได้มองว่าเป็นศัตรูกันทางการเมืองที่ต้องแข่งกัน เพราะยิ่งแข่งเท่าไหร่ประชาชนได้ประโยชน์ แข่งกันในเรื่องคุณภาพการทำงาน
วันนี้ดีขึ้นเยอะ คิดว่าการทำงานที่ผ่านมาก็กระตุ้นให้สส.พรรคการเมืองอื่นยกระดับการทำงาน ซึ่งหลายคนทำได้ดี แต่ยังสามารถร่วมมือกันได้ในอนาคต แม้ว่าอนาคตอาจจะอยู่คนละฝ่ายกันก็ยังร่วมกันได้ ถ้าเป็นแบบนี้ไม่มีปัญหา เป็นธรรมชาติของระบบรัฐสภา แต่ถ้ามองว่าเป็นศัตรูทางการเมืองจะนำไปสู่การทำลายล้างซึ่งกันและกัน โดยที่ไม่สนใจวิธีการอันนี้อันตราย ก็ยินดีแข่งกัน ส่วนโอกาสจะได้กลับมาจับมือร่วมกันในทางทฤษฎีก็เป็นไปได้ แต่ต้องดูเงื่อนไขและสถานการณ์ในช่วงเวลานั้นด้วย