พท.ปัดดึงอุ๊งอิ๊งนั่งรัฐมนตรี  "เศรษฐา เรียกถก "รมต.เพื่อไทย" กำชับให้ลงพื้นที่พบปะประชาชน ทวงถาม"อนุทิน" เจ้าภาพเลี้ยงข้าวกระชับมิตรพรรคร่วมฯ  "ภูมิธรรม" ปัดข่าวดึง "แพทองธาร" นั่งเก้าอี้รมต. บอกหนทางยังอีกยางไกล ด้าน "อนุทิน" เชียร์อุ๊งอิ๊งเป็นยิ่งกว่ารมต.ยังเป็นได้ ขณะที่ ก้าวไกลเมินเพื่อไทยขอชำแหละงบฯ ห้ามพาดพิงทักษิณ      

ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 2 ม.ค.67 เวลา 07.16 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง พร้อม พญ.พักตร์พิไล ทวีสิน ภริยา เป็นประธานพิธีทำบุญเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2567 ที่ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยนายกฯได้เดินมายังตึกสันติไมตรี เพื่อเป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์เนื่องในโอกาสทำบุญตักบาตรวันขึ้นปีใหม่พุทธศักราช 2567 โดยมีสมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ 10 รูป ประกอบพิธี  จากนั้นนายกฯ สักการะพระพรหมบนตึกไทยคู่ฟ้า และเดินลงมาสักการะศาลพระภูมิเจ้าที่ ศาลตาศาลยาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบฯ เพื่อความเป็นสิริมงคลในวันขึ้นปีใหม่      

นายกฯ ให้สัมภาษณ์ภายหลังสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบฯ แล้วจะไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่บ้านพิษณุโลกด้วยหรือไม่ ว่า ต้องดูตารางก่อน แต่คงต้องมี เป็นธรรมเนียมไทยที่ต้องไหว้ในช่วงปีใหม่ เมื่อถามว่า วันนี้ทำบุญทำเนียบฯ สักการะพระพรหม และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบฯ ได้ขอพรอะไรหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ได้ขอพรให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง และชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนดีขึ้น ขอให้มีแรงบันดาลใจเยอะๆ ในการทำงาน และยังได้ขอพรให้กับคณะรัฐมนตรีทั้งคณะด้วย ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ      

ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่บอกว่าได้ฤกษ์นอนทำเนียบฯ วันที่ 7 ม.ค.เป็นฤกษ์อย่างไร นายกฯ กล่าวว่า ไม่ทราบว่า ทำไมต้องเป็นวันที่ 7 ม.ค. แต่ฤกษ์มาอย่างนั้น คุณจะถามหรือว่าฤกษ์ทำไมมาอย่างนั้น เมื่อถามว่า แสดงว่าเป็นวันที่ดีใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ก็หวังว่าเป็นอย่างนั้น และวันที่ 7 ม.ค. ถือเป็นวันแรกที่สามารถเข้านอนได้ แต่อาจเป็นวันที่ 9 ม.ค. 12 ม.ค. หรือ 14 ม.ค. ตนไม่แน่ใจ จำไม่ได้ ต้องไปดูอีกที แต่จะนอนก่อนวันที่ 7 ม.ค. ไม่ได้เพราะเป็นฤกษ์      นายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมครม. ถึงการเชิญรัฐมนตรีในส่วนของพรรคเพื่อไทยเข้าหารือในวันนี้ ว่า ไม่ได้มีอะไรที่จะต้องกำชับเป็นพิเศษ เพียงแต่ไม่ได้เจอกันมาประมาณ 1 เดือน ซึ่งการพูดคุยก็คงเป็นการกำชับในเรื่องของร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภา และเรื่องของพื้นที่ในการดูแลพี่น้องประชาชน เราจะต้องไม่ลืมว่ารัฐมนตรีทุกคนนั้นอยู่ในตำแหน่งฝ่ายบริหาร ก็ต้องพยายามเตือนกันว่าจะต้องลงพื้นที่ด้วย อย่าลืมพี่น้องประชาชนเพราะหลายท่านก็เป็นสอสออยู่เช่นกันวันนี้ถือเป็นการพูดคุยกันมากกว่าและเป็นการสื่อสารทั้งสองทาง รัฐมนตรีเองก็อาจจะอยากสื่อสารอะไรให้ผมทราบด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ผมจะสื่อสารเพียงฝ่ายเดียวเราอยู่ด้วยกันเป็นพาร์ทเนอร์กันก็ต้องพูดคุยกันตลอด    

 ผู้สื่อข่าวถามว่า ในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาลจะมีการหารือพูดคุย ในลักษณะกระชับมิตร กันด้วยหรือไม่ นายกฯ ตอบว่า ขอบคุณที่เตือน เพราะในครั้งต่อไปท่านอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นเจ้าภาพในงานเลี้ยงครั้งต่อไป ก็ยังไม่ได้มีการชวนเลย เดี๋ยวสื่อต้องทวงท่านเองก็แล้วกัน    

 ผู้สื่อข่าวถามว่า หมายถึงนายกฯเองก็อยากที่จะมีวงหารือกระชับมิตรเช่นกันใช่หรือไม่ นาย เศรษฐา ตอบว่า  แหม คนที่เขาจะเลี้ยงเค้ายังไม่ชวนเลยŽ เดี๋ยวคงต้องไปทวงท่านอนุทินกันด้วยแล้วกัน ผมก็อยากให้ท่านเลี้ยงอยู่เหมือนกัน ยินดีอยู่แล้ว บังเอิญในช่วงส่งท้ายปีเก่าได้เจอกับท่านที่หัวหินก็ลืมทวงไปหน่อย แต่ผมเชื่อว่าท่านก็อยากกินอยู่แต่บังเอิญว่ายังยุ่งยุ่งกัน อยากทานครับ     

เมื่อถามว่าแล้วจะมีการกินข้าวกระชับมิตรกับสื่อมวลชนหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า อยากกินด้วยเหมือนกันและคุยข่าวด้วย ก็ขอให้แนะนำมาว่าจะต้องทำอย่างไร      

นายภูมิธรรม เวชชชัย รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์  ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมกับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ว่า ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าไม่ได้เป็นการเรียกประชุม โดยปกติเราจะมีการรับประทานอาหารกันร่วมกัน ซึ่งวันนี้นายกฯ ได้เน้นย้ำในที่ประชุมว่าพวกเรามีงานทำเยอะ แต่การประชาสัมพันธ์มีไม่มาก เพราะฉะนั้นจึงอยากให้ทุกคนพูดในสิ่งที่ตัวเองทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เราได้ทำงานมา 2-3 เดือนนี้ ก็เริ่มมีผลงานออกมามากขึ้น ทั้งเรื่องที่ดินที่มีการแจกจ่าย หรืออย่างเรื่องเรือประมงก็ทำกฎหมาย 19 ฉบับ เป็นการแก้ไขระเบียบต่างๆ วันนี้จึงมีผลทำให้ชาวประมงเริ่มออกเรือได้    

 "หลังจากปีใหม่มาผลงานต่างๆก็จะเริ่มเห็นมากขึ้น การประชุมนี้ถือเป็นการคุยปกติ แค่มาย้ำในเรื่องต่างๆเท่านั้น วันนี้ก็ไม่มีอะไร การประชุมคณะรัฐมนตรี ก็สั้น จากนั้นก็จะเป็นการประชุมวาระปกติ ซึ่งปีนี้เป็นปีใหม่แล้ว ให้พวกเราทำงานอย่างเต็มที่ ประสานงานกันมากขึ้น และชี้แจงให้ประชาชนทราบในผลงานของเรา ที่สำคัญผลที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนไม่ว่าจะเป็นเรื่องยาเสพติด หนี้นอกระบบ จะทำให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น"นายภูมิธรรม กล่าว      

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้ทราบถึงผลงานมากขึ้นหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า มี 2 ประเด็นที่ยังไม่เห็นเป็นผลงาน เพราะเป็นการไปรื้อเรื่องเก่าที่เป็นปัญหา อีกส่วนหนึ่งคืองานวางโครงสร้าง ฉะนั้นเป็นการแก้เรื่องเก่าว่างเรื่องใหม่ จึงไม่คิดว่าที่ทำมาไม่ได้มีผลงาน เพียงแต่ว่าหลังจากนี้จะเริ่มปรากฏผลงานมากขึ้น อยากให้ทุกฝ่ายได้ประชาสัมพันธ์สิ่งที่ทำ ไม่ได้เป็นการคุยเรื่องที่เกินจริง แต่จะเป็นการนำผลงานที่เป็นรูปธรรมให้ประชาชนได้รับรู้มากขึ้น และสิ่งที่ทำอยู่แล้วนายกรัฐมนตรีก็ได้ให้กำลังใจ ในปีนี้ก็เป็นปีที่เราทำงานหนักเพิ่มขึ้น เพราะเราจะเริ่มคลายกฎระเบียบต่างๆ  ในวันนี้ถือว่าเราไปเสริมกำลังกายกำลังใจมาพร้อมที่จะทำงาน      

เมื่อถามว่า มีการพูดถึงการเตรียมพร้อมการอภิปรายงบประมาณปี 2567 หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่มี เพราะมีการประชุมงบฯ ร่วมกันไปแล้ว โดยเฉพาะวิปรัฐบาลได้คุยกันไปแล้ว ก็ต้องบอกว่าเราทุกคนจะอยู่ในส่วนที่เตรียมการชี้แจงความจำเป็นในการใช้งบแต่ละกระทรวง และจะผลัดกันทำงาน แต่รองนายกรัฐมนตรีทั้ง 6 คน จะอยู่ในการอภิปรายตลอดไม่ว่านายกรัฐมนตรีจะอยู่หรือไม่ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีได้วางงานนี้เป็นงานหลักอยู่แล้ว เชื่อว่าไม่มีปัญหาอะไร     

นายภูมิธรรม ยังให้สัมภาษณ์กรณีกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีโดยน.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรี ว่า ตนได้ยินเรื่องนี้มาตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง ได้ยินมาตลอดแต่ยังไม่เคยเป็นจริง เป็นเรื่องที่มีทัศนะกันไปไม่ได้มีปัญหาอะไร ตอนนี้คณะรัฐมนตรีไม่ได้คิดเรื่องปรับอะไร เราทำงานกันอย่างเต็มที่ทุกพรรคไม่มีปัญหานี้ ในคณะรัฐมนตรีไม่เคยได้ยินมีแต่สื่อถาม "ยืนยันไม่มีอะไรเป็นสัญญาณเช่นนั้น และยืนยันไม่ทำให้การทำงานวอกแวกเพราะเราอยู่กับความเป็นจริง ความเป็นจริงตอนนี้เราร่วมมือกันดีประสานงานกันดี และเสียงที่ได้ยินเป็นเสียงจากภายนอกที่อาจไม่เข้าใจสิ่งที่เป็นอยู่ไม่มีปัญหาเราพร้อมชี้แจง" นายภูมิธรรม กล่าว      

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมกระแสข่าวนี้ถึงมีมาตลอด นายภูมิธรรม กล่าวว่า คนที่รู้ดีที่สุดน่าจะเป็นสื่อ เมื่อถามย้ำว่า คิดว่าน.ส.แพทองธารเหมาะเข้ามาในสถานการณ์ตอนนี้หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า น.ส.แพทองธารกำลังทำหน้าที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งเรามียุทธศาสตร์การเดิน 3 ขา คือพรรค สภาฯ รัฐบาล ทั้ง 3 ส่วนทำงานเพื่อประชาชน ทุกฝ่ายมีบทบาทหน้าที่ของตัวเอง คิดว่าถ้าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงคือให้มันจบกระบวนการที่ทำงานนี้อยู่ ถ้าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปถึงจุดนั้นค่อยว่ากันตอนนี้ยังไกลเหมือนกันที่จะไปถึงจุดที่มีการสอบถาม      

นายภูมิธรรม ยังให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการแก้รัฐธรรมนูญ ว่า วันที่ 25 ม.ค.จะสรุปของคณะกรรมการศึกษาฯตอนนี้กำลังทำเอกสารเพื่อเสนอให้ครม.พิจารณา อย่างช้าที่สุดในไตรมาสนี้ เร็วที่สุดในเดือน ม.ค.นี้ เพื่อให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้ตัดสินใจ หากเห็นชอบก็ส่งต่อไปให้คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการต่อ ไม่ต้องกังวลว่าเราจะเสนอสิ่งที่รับฟังความเห็นมาจากประชาชน โดยรวมตัวแทนประชาชนที่แสดงความคิดเห็น เห็นความจำเป็นที่ต้องเดินหน้าเช่นนี้ แต่กังวลความเห็นที่แตกต่างกันเราจึงต้องรับฟังความคิดเห็นให้ได้มากที่สุด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คาดได้อยู่แล้วว่าไม่สามารถรับฟังความเห็นได้อย่างครบถ้วน แต่เราจะเอาความเห็นของคนส่วนใหญ่แล้วดูแลเสียงข้างน้อยที่มีอยู่      เมื่อถามถึงคำถามประชามติที่ออกมาจะเปลี่ยนแปลงได้หรือ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่ได้เคาะ คนที่เคาะคือครม.ที่ประชุมวันที่ 25 ม.ค. มติเป็นเอกฉันท์ ทุกคนเห็นว่าสถานการณ์แบบนี้ การทำแบบนี้ บนหลักการณ์ที่ว่าให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นและให้สามารถผ่านได้จริง เป็นความจำเป็นสำคัญมากกว่าจะยืนยันอะไรหลายอย่างแล้วให้การแก้ไขครั้งนี้ตกไปแล้วต้องใช้รัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ใช้มาแล้วเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ ความแตกต่างที่ฟังมาคือเราจะแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นหรือจะแก้ตามใจตัวเองแล้วไม่สามารถผ่านได้แล้วกลับไปใช้รัฐธรรมนูญ 2560 แล้วอยู่กับสถานการณ์เดิมๆ เราเลือกเอาอย่างที่ไม่อยู่กับรัฐธรรมนูญแบบเดิมเพื่อให้ทุกอย่างดีขึ้น      ด้าน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย กล่าวถึงการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ที่ฝ่ายค้านอาจจะพูดในเชิงอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ว่า ไม่เป็นไร ถ้าอยู่ในประเด็น รัฐบาลก็ต้องตอบ ส.ส.มีสิทธิ์ถามรัฐบาลในสภาฯ อยู่แล้ว สิ่งที่อยู่ในสาระในประเด็น คณะรัฐมนตรีก็ยินดีตอบ เมื่อถามว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านเตรียมผู้อภิปรายไว้ 50 คน นายอนุทิน กล่าวว่า จำนวนคนก็สอดคล้องกับระยะเวลา 3 วัน และเวลาของพรรคร่วมฝ่ายค้านที่ได้มากกว่าฝ่ายรัฐบาล ซึ่ง กระทรวงมหาดไทยเป็นกระทรวงที่ดูแลสารทุกข์สุขดิบของประชาชนทุกเรื่องอยู่แล้ว สามารถอธิบายให้พรรคร่วมฝ่ายค้านได้      

สำหรับงบประมาณ 4 แสนกว่าล้าน ที่กระทรวงมหาดไทยได้รับมา ก็อย่าตกใจ เพราะได้มาก็ลงพื้นที่หมด งบประมาณจะเป็นของประชาชน 70-80% เป็นของมหาดไทยจริงๆ ไม่ถึง 20% ที่เหลือเป็นท้องถิ่น องค์การบริหารส่วนตำบล เหมือนเอามาฝากผ่านกระทรวงมหาดไทย ของกระทรวง จริงๆ ได้นิดเดียว เมื่อถามถึงกระแสข่าวการปรับ ครม. โดยคาดว่าจะมีชื่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย มาเป็นรัฐมนตรีนั้น มีความเห็นอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า จะมีความเห็นไม่ได้ เพราะไม่ใช่พรรคที่ตนเองเกี่ยวข้อง ต้องไปถามทางพรรคเพื่อไทย แต่น.ส.แพทองธารก็เป็นหัวหน้าพรรค เมื่อลูกพรรคเป็นรัฐมนตรีได้ แล้วทำไมหัวหน้าพรรคจะเป็นไม่ได้ เป็นยิ่งกว่านั้นยังจะได้เลย เมื่อถามว่า เชื่อมั่นว่าน.ส.แพทองธารมีศักยภาพเป็นรัฐมนตรีหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ก็เป็นหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว เมื่อถามต่อว่า เหมาะจะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงใด นายอนุทิน กล่าวว่า ขอให้ถามเรื่องอื่น      นายอนุทิน ยังเปิดเผยว่า สำหรับการประชุมส.ส.ภูมิใจไทย วันนี้ก็เป็นปกติที่จะมีการประชุมส.ส. ก่อนที่จะมีการเปิดประชุมสภาฯ และวันพรุ่งนี้จะมีการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ด้วย รวมถึงจะมีการหารือเรื่องกรรมาธิการงบประมาณในสัดส่วนของ ครม. ที่ไม่จำเป็นต้องเป็น สส. หรือรัฐมนตรี แต่ดูผู้ที่มีคุณวุฒิมากเพียงพอ      นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานกรรมการประสานงานพรรคฝ่ายค้าน หรือประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทย ขอฝ่ายค้านอย่าอภิปรายพาดพิง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โดยระบุไม่มีความเกี่ยวข้อง ว่า เชื่อว่าส.ส.ทุกคนทราบวาระการพิจารณา ซึ่งหากไม่มีวาระเกี่ยวข้อง ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเอ่ยถึงบุคคลภายนอก แต่หากมีความเกี่ยวข้องที่ ก็จะต้องอภิปรายกล่าวถึง      

นายปกรณ์วุฒิ ยังกล่าวถึงแนวทางการอภิปรายของพรรคก้าวไกล ว่า พรรคได้ประกาศไปแล้วว่าวิกฤตแบบใด จึงจัดงบฯแบบนี้ เนื่องจากรัฐบาลได้อ้างถึงสถานการณ์เศรษฐกิจประเทศอยู่ในวิกฤตที่จะต้องกู้เงินมาดำเนินโครงการต่าง ๆ เช่น ดิจิทัลวอลเลต แต่การจัดสรรงบฯ ในร่างกฎหมาย ได้สะท้อนให้เห็นว่าประเทศกำลังวิกฤตจริงหรือไม่ ซึ่งเท่าที่เห็นไม่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในการจัดสรรงบฯ ที่แตกต่างจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ พร้อมยังเห็นว่ารัฐบาลยังจัดสรรงบฯตามเดิม ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ซึ่งในการอภิปรายทั้ง 3 วัน พรรคก้าวไกลได้วางการอภิปรายสะท้อนให้เห็นถึงวิกฤติเศรษฐกิจปากท้อง วิกฤติสิ่งแวดล้อม วิกฤติความเหลื่อมล้ำ และวิกฤติทรัพยากรมนุษย์ เด็ก เกิดใหม่น้อย     

นายปกรณ์ กล่าวว่า การอภิปรายงบฯครั้งนี้ จะมีความเข้มข้นไม่ต่างจากการอภิปรายงบฯของพรรคก้าวไกลตลอด 4 ปีที่ผ่านมา และเชื่อว่าการอภิปรายจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อยโดยอ้างอิงจากการอภิปรายครั้งที่ผ่านมาไม่มีการประท้วงวุ่นวาย ส่วน นายสรรเพชญ บุญญามณี ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ได้กล่าวถึงการจัดทำงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ที่จะมีการพิจารณาวาระแรก ขั้นรับหลักการ ในสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างวันที่ 3 - 5 ม.ค.67 ว่า การพิจารณางบประมาณในครั้งนี้ มีเวลาน้อยมากเนื่องจากงบประมาณปี 2567 ต้องใช้งบประมาณของปี 2566 ไปพลางก่อน สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีเวลาในการพิจารณางบประมาณ ภายใน 105 วัน ใน 3 วาระ จึงต้องเร่งศึกษาในประเด็นต่าง ๆ ที่อยู่ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 เพื่อให้งบประมาณที่สภาผู้แทนราษฎร จะพิจารณาแล้วอนุมัตินั้น เป็นงบประมาณที่จะได้ใช้อย่างคุ้มค่า โปร่งใสและตรวจสอบได้เพื่อประโยชน์กับประชาชนมากที่สุด      

สำหรับการจัดสรรงบประมาณในส่วนของงบกลางนั้น การจัดสรรรายจ่ายงบกลาง สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนับตั้งแต่ ปีงบประมาณ 2563 - 2567 มีการจัดสรรงบกลางไปแล้ว ทั้งสิ้นกว่า 2.9 ล้านล้านบาท เฉลี่ย 5.8 แสนล้านบาทต่อปี โดยในปีงบประมาณ 2567 มีการจัดสรรงบกลาง กว่า 6 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 16,295 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณที่มากที่สุดในกลุ่มประเภทรายจ่ายที่ได้รับการจัดสรร โดยส่วนใหญ่เป็นงบประมาณรายจ่ายเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐ ถึงร้อยละ 82.9 และเป็นงบประมาณเพื่อสำรองจ่ายในกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 98,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 6,100 ล้านบาท จากปี 2566      

นายสรรเพชญ ได้ตั้งข้อสังเกตงบประมาณในส่วนนี้ว่า เป็นการตีเช็คเปล่าให้นายกฯ หรือไม่ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า งบกลาง เป็นงบที่ตรวจสอบยากที่สุด และเมื่อย้อนไปฟังคำอภิปรายของ สส. และ ครม. ซึ่งหลายท่านวันนั้นท่านนั่งทำหน้าที่ฝ่ายค้านอยู่ตรงนี้ ท่านวิจารณ์รัฐบาลชุดที่ผ่านมาว่าใช้งบกลางเป็นจำนวนมากและของบกลางเพิ่มขึ้นทุก ๆ ปี แต่มาวันนี้ท่านกลับทำในสิ่งที่ตนได้พูดไว้ในอดีต และตั้งข้อสังเกตว่าการกระทำแบบนี้เข้าข่าย ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง หรือไม่  ซึ่งตนในฐานะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ จะติดตามการใช้จ่ายงบประมาณอย่างใกล้ชิดเพื่อให้การใช้งบประมาณมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุด เพื่อประโยชน์สูงสุดของพี่น้องประชาชน