เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.66 นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม โพสต์คลิป พร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว สามารถ เจนชัยจิตรวนิช ระบุว่า...

สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศครับ วันนี้ผมสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ก็จะมาสื่อสารกับพ่อแม่พี่น้องประชาชน ผ่านรายการสามารถ 5 นาที ช่องทางเฟสบุ๊คสามารถ เจนชัยจิตรวนิช และช่องทาง TikTok: jopstoploss ครับ วันนี้จะมาคุยกับพ่อแม่พี่น้องในเรื่องของศาลรัฐธรรมนูญ​ มีคนบอกผมว่าเรื่องของพรรคก้าวไกลที่มีการนำมาตรา 112 มาแก้ไขเป็นนโยบายหาเสียงนั้น มีกูรูบางคนออกมาบอกว่าพรรคก้าวไกลจะไม่ถูกยุบพรรค เพราะว่าในคำขอนั้นไม่ได้ขอไป พูดง่ายๆว่าในคำร้องไม่ได้บอกให้ยุบพรรคก้าวไกล

เรื่องนี้ต้องชัดเจนก่อนว่า คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญนั้นผูกพันทุกองค์กร คำว่า ผูกพันทุกองค์กรหมายความว่าไงครับ สมมุติศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าการกระทำของพรรคก้าวไกล ที่นำเอามาตรา 112 มาเป็นนโยบายหาเสียงนั้น เข้าข่ายที่จะเป็นการล้มล้างการปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญมีสิทธิ์ยับยั้ง คำว่ามีสิทธิ์ยับยั้งหมายความว่า ยับยังการกระทำที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบันและในอนาคต ก็คือสั่งให้หยุด แต่เนื่องจากเป็นพรรคการเมืองนั้นศาลรัฐธรรมนูญจะต้องมีคำสั่งยุบพรรค

ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจ ไม่ใช่ศาลยุติธรรม ศาลยุติธรรมนั้นจะพิพากษาตามคำร้อง หรือคำขอเท่านั้น ไม่สามารถที่จะทำหน้าที่เกินคำขอได้ ฉะนั้นผมไม่รู้ว่าคนที่พูดออกกมานั้น มีความรู้ทางกฎหมายมากน้อยเพียงใด ผมบอกว่าการที่ให้พรรคก้าวไกลใช้มาตรา 112 เป็นนโยบายหาเสียง ถ้าศาลรัฐธรรมนูญไม่วินิจฉัยประเด็นนี้​ ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป จะมีหลายพรรคการเมืองที่จะเอาเรื่องนี้มาหาเสียง สุดท้ายแล้วจะสะเทือนถึงสถาบันอย่างแน่นอน​

สิ่งสำคัญที่สุดที่ผมพูดว่า วันนี้ถ้าเรายุบพรรคก้าวไกลแล้ว การแก้ไขมาตรา 112 หรือการที่จะดึงสถาบันลงมามันจะน้อยลง ผมเห็นหลายครั้งที่เราเห็นว่า จะมีม๊อบมากมายนั้นไม่เคยเกิดขึ้นครับ ผมจะขอยกตัวอย่างง่ายๆ วันที่มีละครเรื่องพรหมลิขิตเนี่ย เรตติ้งละครพรหมลิขิตขึ้นอันดับหนึ่งเลย แต่วันนี้ละครพรหมลิขิตจบไปแล้ว ไม่เห็นมีใครเรียกร้องที่จะดูละครพรหมลิขิตต่อ ก็เฉกเช่นเดียวกับพรรคก้าวไกลครับ คือถ้ายุบพรรคก้าไกลไปแล้ว ถ้ามีพรรคการเมืองใหม่ ที่ทำงานเพื่อประชาชน ทำงานเพื่อคนรุ่นใหม่ มันก็จะทำให้เกมส์การเมืองเปลี่ยนไปได้ครับ อย่าไปคิดครับที่บอกว่า ยุบพรรคก้าวไกลแล้วม๊อบจะมาคูณสอง คูณสาม เรื่องเหล่านั้นมโนทั้งนั้นครับ

ผมยกตัวอย่างให้ฟังว่า พรรคประชาธิปัตย์เนี่ยในช้่วงพีคๆที่เขาบอกว่า “ ส่งเสาไฟลงก็ชนะ “ เขาได้คะเลือกตั้งถึง 18 ล้านเสียง​ แต่ปัจจุบันเหลืออยู่เท่าไหร่ ทุกคนก็คงจะทราบดี

ฉะนั้นที่บอกว่ายุบพรรคก้าวไกลแล้ว ม๊อบจะมาเยอะแยะ คำพูดนี้มันไม่จริงหรอกครับ แต่สิ่งสำคัญที่สุดต้องมีพรรคการเมืองที่เป็นคนรุ่นใหม่ ที่ทำเพื่อคนรุ่นใหม่ ทำเพื่อประชาชน ที่มีนโยบายแตกต่างกับพรรคการเมืองเดิมๆ คือพูดง่ายๆว่าพรรคการเมืองเดิมๆ ที่มีอยู่ในตลาด ณ เวลานี้เนี่ยส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีอายุ

ลองไปดูกรรมการบริหารพรรคทุกคน​ พรรคที่มี ส.ส. ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ ค่าเฉลี่ยกรรมการบริหารพรรค กรรมการยุทธศาสตร์เกินอายุ 40 ปีหมดทุกพรรคครับ มีแต่ยกเว้นพรรคก้าวไกล

นั่นคือสิ่งที่ผมสะท้อนกลับมาให้เห็นว่า การยุบพรรคก้าวไกลไม่ได้สะเทือน แต่เหนือสิ่งอื่นใดถ้าไม่ยุบพรรคก้าวไกล จะทำให้คนเอาเรื่องนี้มาหาเสียง ซึ่งจะมีผลกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ มาตรา 112 ที่พรรคก้าวไกลนำมาใช้หาเสียงนั้น เป็นการด้อยค่าอย่างชัดเจน เพราะลดโทษ เเละเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง การเอามาตรา 112 ออกจากโหมดความมั่นคงนั่นคือการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้าง ผมก็ไม่เข้าใจว่าพรรคก้าวไกลที่เอาข้อมูลไปชี้แจงกับศาลรัฐธรรมนูญบอกว่า เป็นนโยบายหาเสียงแต่การแก้กฎหมายได้นั้น ต้องเป็นหน้าที่ของสภา

ผมก็คิดว่าทำไมถึงได้พูดโกหกอีกแล้ว ในวันที่ไปหาเสียงกับประชาชน บอกว่าพรรคก้าวไกลต้องการแก้มาตรา 112​ บางเวทีพูดว่ายกเลิกมาตรา112 แต่วันที่ต้องไปชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญบอกว่า การแก้กฎหมายนั้น เป็นหน้าที่ของสภา ถ้าสภาเห็นด้วยถึงจะแก้ได้ ไม่ใช่แค่พรรคก้าวไกลทำอยู่ฝ่ายเดียว เห็นไหมครับ แล้วถ้าวันนั้นเขาเลือกพรรคก้าวไกลมาเต็มสภา 500 เสียง จะเป็นอย่างไร

ฉะนั้นไม่ใช่แค่ผิดในเรื่องของมาตรา 112 ครับ ยังผิดในข้อหาหลอกลวงประชาชนด้วย​ เพราะว่าตอนไปหาเสียงกับประชาชนบอกว่า จะแก้มาตรา 112 บางเวทีบอกจะยกเลิกมาตรา 112 แต่พอขึ้นชี้แจงศาลรัฐธรรมนูญกลัว จึงอ้างว่าการแก้ไขเป็นหน้าที่ของสภา ไม่ใช่หน้าที่พรรคการเมือง บางเคยเห็นไหมครับคลิปวิดีโอที่​ คุณพิธาติดสติ๊กเกอร์คำว่ายกเลิกมาตรา 112 ดังนั้นทำไมเวลาไปชี้เเจงที่ศาลรัฐธรรมนูญ มันไม่ตรงกับสิ่งที่ออกมาพูดกับประชาชน นั่นคือสิ่งที่ผมบอกว่าการยุบพรรคก้าวไกล จะทำให้การแก้ไขมาตรา 112 หรือยกเลิกมาตรา 112 นั้นไม่เกิดขึ้นอีก ผมเห็น ส.ส. พรรคก้าวไกลหลายคน ที่อยู่กรรมธิการบางคนติดเข็มแล้ว แม้แต่คุณชัยธวัช ตุลาธน ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล วันที่ได้รับราชโองการโปรดเกล้าเป็นผู้นำฝ่ายค้าน ก็หมอบกราบใส่ชุดขาวติดเข็ม 2 เข็ม อย่างชัดเจน

สิ่งที่สำคัญที่สุดผมมองว่า วันนี้เองเขาก็ไม่ได้อยากจะแก้ไขแล้ว​ แต่ด้วยความที่เป็นพรรคก้าวไกล มันมีดีเอ็นเอ ตรงนี้ ฉะนั้นถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกล ก็จะไม่มีใครกล้าเอามาตรา 112 มาเป็นนโยบายหาเสียงอีก แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญบอกว่า ให้ยับยั้งทำไม่ได้ แต่การได้มาซึ่งคะแนนเสียงมันก็มีผล ดังนั้นผมมองเป็นอื่นไม่ได้เลย​ ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งเหมือนคราวที่แล้ว ที่บอกว่าการกระทำของ ไมค์ รุ้ง เพนกวิ้น นั้นเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ขอให้บุคคลดังกล่าวหยุดการกระทำ

ผมเองก็ยังงงว่าการกระทำนั้นมีความผิดสำเร็จแล้วเนี่ย ศาลรัฐธรรมนูญก็มีคำสั่งแล้ว มีคำวินิจฉัยแล้วเนี่ย มันผูกพันทุกองค์กร หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายได้ดำเนินการหรือยัง เพราะศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าการกระทำดังกล่าวนั้น เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง นายสามารถกล่าวต่อว่า

ฉะนั้นเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ดำเนินการหรือยัง เพราะการกระทำที่มหาวิทยาลัย​ธรรมศาสตร์​รังสิตนั้น ความผิดมันสำเร็จเเล้ว ข้อเรียกร้องทั้ง 10 ข้อนั้น เป็นข้อเรียกที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกระทบกระเทือน​สถาบัน คือเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้าง ล้มล้างการปกครองอย่างชัดเจน ฉะนั้นคนมีหน้าที่ต้องนำคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญไปดำเนินการด้วย นายสามารถกล่าวทิ้งท้ายว่า

ผมกลัวว่าจะมีประชาชนไปร้อง มาตรา 157 กับหน่วยงานของรัฐ ก็ย้อนกลับมาที่ กกต. เองก็เช่นเดียวกัน วันนั้นถ้าศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย กกต. ก็ต้องดำเนินการครับ ซึ่งผมมองว่าศาลรัฐธรรมนูญคงไม่ต้องปล่อยเผือกร้อนมาให้ กกต.ดำเนินการ​ต่อ​ เพื่อประวิงเวลา​ ยื้อเวลาให้พรรคก้าวไกล​ต่อไป