ปัญหาอาวุธปืนเถื่อนระบาดการเตือนทั่วประเทศไทยทั้งทางออนไลน์และทางเพจ facebook ต่างๆ ตลอดถึงละครน้ำเน่าที่ใช้อาวุธปืนได้ยิงกันในป่าส่งผลให้เยาวชนคนรุ่นใหม่จิตใจอ่อนนำมาเลียนแบบอย่างขอให้เกิดปัญหาสังคมขึ้นในยุคปัจจุบัน
ปัง ปัง ปัง เสียงปืนดังขึ้นกระหน่ำกลางห้างดังกลางเมืองหลวง ของวันที่ 3 ต.ค.66 ที่ผ่านมา มือปืนมือปืนใจเด็ดเป็นเยาวชนอายุเพียง 14 ปี ใช้ปืนกล็อก-19 ขนาด 9 มม.ก่อเหตุ ไล่ยิงประชาชนที่มาเดินภายในห้างไม่ต่างอะไรกับละครทีวี มีผู้ถูกยิงบาดเจ็บและเสียชีวิตทั้งสิ้น 7 ราย และเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 1 ราย เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน  เจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยกู้ภัยต้องนำร่างส่งไปเก็บ ที่นิติเวช ส่วนผู้บาดเจ็บถูกนำส่งโรงพยาบาลจำนวน 6 คน มีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เป็นชาย 1 ราย หญิง 5 ราย ถูกนำส่ง รพ.จุฬาฯ 3 ราย อาการสาหัสทั้ง 3 ราย รพ.ตำรวจ 2 ราย อาการสาหัส 1 ราย และ รพ.กรุงเทพคริสเตียน 1 ราย อาการสาหัส
เหตุการณ์ยิงกันในห้างสยามพารากอน ย่านปทุมวัน เป็นเรื่องจริง ตำรวจ สน.ปทุมวัน อยู่ระหว่างการอพยพประชาชนที่อยู่ภายในที่เกิดเหตุและบริเวณใกล้เคียงออกจากห้าง ส่วนจุดที่่เกิดเหตุอยู่ระหว่างการตรวจสอบให้แน่ชัด ในส่วนของผู้ก่อเหตุทราบว่ายังคงอยู่ในพื้นที่เกิดเหตุ โดยเจ้าหน้าที่ฝากเตือนประชาชน ขอให้ระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยผู้ก่อเหตุมีอาวุธปืน โดยเจ้าหน้าที่กำลังเร่งคลี่คลายสถานการณ์ให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด ​​​​​​​
ต่อมาเจ้าหน้าเข้าเคลียร์พื้นที่โดยพบคนร้าย จึงเข้าทำการจับกุม ก่อนนำตัวมาสอบสวนถึงมาก่อเหตุสลดดังกล่าว โดยมีรายงานว่าผู้ต้องหา เป็นเด็กอายุ 14 ปี ใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม. ยี่ห้อ กล็อก 19 ยอมวางอาวุธ เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวได้ บริเวณชั้น 3 โรงแรมสยามแคมปินสกี้จุดเกิดเหตุอยู่บริเวณใกล้กับช็อปร้านกระเป๋าแบรนด์เนมชื่อดัง บริเวณชั้นเอ็มของห้างดังกล่าว โดยช่วงเกิดเหตุมีเสียงปืนดังขึ้นหลายครั้ง ทำให้ประชาชนที่เดินอยู่ภายในห้างต่างวิ่งหนีกันอลหม่าน ​​​​​​​
เบื้องต้นตรวจสอบจากกล้องวงจรปิด พบชายต้องสงสัยสวมใส่เสื้อผ้ามิดชิด สีเข้ม ปิดบังใบหน้า รองเท้าบูตสีดำ มีรายงานว่า ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุเป็นเด็กอายุ 14 ปี ใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม. ยี่ห้อ กล็อก19 ยอมวางอาวุธ ถูกควบคุมตัวได้ บริเวณชั้น 3 โรงแรมสยามแคมปินสกี้ ต่อมามีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 1 ราย เป็นหญิงชาวพม่า ถูกยิงบริเวณลำคอ 1 นัด ด้านหลัง 2 นัด อาการสาหัสถูกนำตัวส่ง รพ.ตำรวจ
ต่อมา พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดชธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น.นำกำลังชุดสืบสวนนครบาล ประสานงานกับชุดสืบสวนภูธรภาค 9 จนสามารถจับกุม นายสุวรรณหงส์ อายุ 45 ปี ที่อยู่ 64/1 ถนนเวฬุวัน ต.สะเตง อ.เมืองยะลา จ.ยะลา ผู้ต้องหาตามหมายจับ จ.932/66 ลงวันที่ 4 ต.ค. 66 และ นายอัครวิชญ์ อายุ 22 ปี ที่อยู่ 64/1 ถนนเวฬุวัน ต.สะเตง อ.เมืองยะลา จ.ยะลา ผู้ต้องหาตามหมายจับ จ.933/66 ลงวันที่ 4 ต.ค. 66 ของ ศาลอาญากรุงเทพใต้พร้อมของกลาง ลูกกระสุนแบงกัน 209 นัด ท่อเหล็กตัดท่อน (ลำกล้องปืน) 33 ท่อน สมุดบัญชีธนาคารกรุงไทย 2 เล่ม เสื้อยืดคอกลมสีเทา (ตัวที่นายสุวรรณหงส์) สวมใส่ขณะกดเงิน และแม็กกาซีนปืน 9 อัน และอุปกรณ์ดัดแปลงอาวุธปืนอื่นๆ รวม 27 รายการ โดยจับกุมได้ในบ้านพักที่ ต.สะเตง อ.เมือง จ.ยะลา อยู่ระหว่างควบคุมตัวขึ้นมาที่กรุงเทพฯ เพื่อสอบปากคำ ส่วนนายปิยะบุตรซึ่งหลบหนีถ้าถูกจับกุมตัวได้ภายหลัง ​​​​​​​
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาทั้งหมด พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้มอบ "แหวนอัศวิน" ให้กับ ร.ต.อ.ธัญอมร หนูนารถ รอง สว.สส.ปฏิบัติหน้าที่ รอง สวป.สน.ปทุมวัน ที่เข้าระงับเหตุคนร้ายกราดยิง เพื่อยกย่องข้าราชการตำรวจที่มีผลการปฏิบัติงานดีเด่น สร้างคุณประโยชน์ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สังคม และประเทศชาติ หลังพิธีกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณตน และสวนสนามของข้าราชการตำรวจและนักเรียนนายร้อยตำรวจ ณ ลานฝึกศรียานนท์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม   ​​​​​​​
สำหรับความเป็นมาของ "แหวนอัศวิน" สืบเนื่องจาก พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ต้องการจะมอบรางวัลให้กับข้าราชการตำรวจที่ทำงานเสี่ยงตาย ทำชื่อเสียงในด้านปราบปราม และงานอื่น อันเป็นประโยชน์ต่อทางราชการตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายภูธร หรือฝ่ายนครบาล / จึงได้มอบเป็นแหวนทองลงยา ที่หัวแหวนเป็นตราหน้าหมวกตำรวจสีแดง โดย พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ได้ตั้งชื่อแหวนนี้ว่า "แหวนอัศวิน"ดังกล่าว ​​​​​​​