วันที่ 27 ธ.ค.66 ที่ บก.สส.บช.น.พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภ.2 ด้วยได้มีผู้เสียหาย ได้มาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.บ้านนา จ.นครนายก โดยได้แจ้งว่า ระหว่างช่วงวันที่ 8 – 17 ส.ค. 2566 ตนเองได้เห็นโพสต์โฆษณาเฟซบุ๊กเกี่ยวกับงานแพ็คสบู่ ผู้เสียหายสนใจจึงได้กดเข้าไปดู หลังจากนั้นได้มีการพูดคุยกับกลุ่มคนร้ายผ่านแอปพิเคชั่นไลน์ และได้ถูกลวงให้ทำงานหารายได้พิเศษ ซึ่งผู้เสียหายหลงเชื่อและได้โอนเงินไปให้กลุ่มคนร้าย จำนวน 11 ครั้ง รวมความเสียหาย 1,767,289.93 บาท ภายหลังการแจ้งความร้องทุกข์ พนักงานสอบสวนได้เสนอเรื่องตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 182/2566 มายังกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 เพื่อให้ดำเนินการสืบสวนหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมาย
เนื่องด้วย พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบช.ภ.2 ได้เห็นถึงความสำคัญของความร้ายแรงของพฤติการณ์ในการหลอกลวงครั้งนี้ ซึ่งคนร้ายได้มุ่งหมายหลอกลวงประชาชนกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และต้องการหารายได้พิเศษเพิ่มด้วยอาชีพสุจริต และเพื่อสนองนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จึงได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.อิทธิพร โพธิ์ทอง รอง ผบช.ภ.2 ซึ่งเป็นหัวหน้าศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ของตำรวจภูธรภาค 2 เข้ามาดำเนินการสืบสวนสอบสวนโดยเฉพาะ
ต่อมา ได้มีการออกคำสั่งตำรวจภูธรภาค 2 ที่ 376/2566 ลงวันที่ 8 ธ.ค. 2566 แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนเพื่อดำเนินการในเรื่องดังกล่าว ซึ่งมี พล.ต.ต.อิทธิพร โพธิ์ทอง รอง ผบช.ภ.2 เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน และ พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภ.2 เป็นรองหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน
จากการสืบสวน ของเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบภาค 2 พบว่า กลุ่มคนร้ายได้กระทำกันเป็นขบวนการ ในลักษณะเครือข่ายแก๊งคอลเซนเตอร์ ได้หลอกลวงให้ผู้เสียหายโอนเงินไปยังบัญชีต่างๆหลายบัญชี จากนั้นได้โอนเงินไปยังบัญชีที่เกี่ยวข้อง ในลักษณะเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันไปเป็นทอดๆ แถบจะให้ทันดีทันใด จากการขยายผลพบยังอีกว่าได้มีผู้เสียหายคนอื่นๆที่ถูกหลอกลวงในลักษณะเดียวกันอีกจำนวนหลายคน กระจายอยู่ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ และจากการสืบสวนดังกล่าว ได้มีการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายจับกลุ่มคนร้ายแก๊งคอลเซนเตอร์นี้ จากศาลจังหวัดนครนายก จำนวน 13 หมายจับ ในวันที่ 26 ธ.ค. 2566
ในฐานความผิด “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน , โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบ”
อีกทั้งเมื่อมีการอนุมัติหมายจับจากศาลแล้วนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบภาค 2 ได้มีการติดตามจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมดในทันที โดยจากผลการปฏิบัติ ระหว่างวันที่ 26 – 27 ธ.ค. 2566 ได้มีการจับผู้ต้องหาแล้ว จำนวน 7 ราย คือ 1.นายนภัสรพีฯ (ขอสงวนนามสกุล) จับกุมที่เขตประเวศ จ.กรุงเทพฯ เจ้าของบัญชีม้า , 2.นายจันทกรานต์ฯ (ขอสงวนนามสกุล) จับกุมที่ อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี เจ้าของบัญชีม้า , 3.นายจักรชัยฯ (ขอสงวนนามสกุล) จับกุมที่ อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ เจ้าของบัญชีม้า , 4.นายชิณวัตรฯ (ขอสงวนนามสกุล) จับกุมที่ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร รับจ้างเปิดบัญชีออนไลน์ ให้กับบุคคลอื่นที่อยู่ฝั่งประเทศกัมพูชา และได้ส่งข้อมูลบัญชีพร้อมสแกนใบหน้าไปทางช่องทางออนไลน์ , 5.น.ส.จิรภิญญาฯ (ขอสงวนนามสกุล) จับกุมที่ อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว ผู้รับจ้างเปิดบัญชีออนไลน์ ให้กับชาวจีน และเคยทำงานให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในฝั่งกัมพูชา จะได้เงินค่าสแกนใบหน้าโอนเงินเพิ่มในการโอนเงินแต่ละครั้ง , 6.น.ส.กนกลักษณ์ฯ (ขอสงวนนามสกุล) จับกุมที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว รับว่าเคยทำงานให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ฝั่งกัมพูชา โดยอ้างว่าถูกหลอกและบังคับให้ทำงาน และ 7.น.ส.อุไรภรณ์ฯ (ขอสงวนนามสกุล) ถูกคุมขังจับกุมที่เรือนจำสมุทรปราการ ในความผิดเกี่ยวกับคดีออนไลน์ในคดีอื่น จึงได้อายัดตัวเพื่อดำเนินคดีนี้ด้วย และในส่วนของผู้ต้องหาคนอื่น เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบภาค 2 ยังคงเร่งดำเนินการติดตามจับกุมเพื่อมาดำเนินตามกฎหมายโดยเร็วที่สุด
จากการสืบสวนขยายผลจากการจับกุมใน 2 วันที่ผ่านมา ยังทำให้ทราบอีกว่า มีผู้ต้องหาบางรายเคยทำหน้าที่เป็นแอดมินให้กับแก๊งคอลเซนเตอร์นี้อยู่ที่ฝั่งกัมพูชา โดยจะดูแลเรื่องของการสแกนใบหน้าเพื่อยืนยันตัวตนในโอนเงินเกิน 50,000 บาท โดยเฉพาะ ซึ่งจะได้ค่าจ้างกับเจ้าของบัญชีม้าในเครือข่ายในการโอนครั้งละ 500 บาท ซึ่งเป็นพฤติการณ์การกระทำความผิดรูปแบบใหม่ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบภาค 2 จะดำเนินการสืบสวนไปยังคนร้ายอื่นๆในเครือข่ายแก๊งคอลเซนเตอร์นี้ต่อไป