ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
บางคนไม่ได้อยากดังหรือหิวแสง เพียงแต่อยากให้คนอื่นรับรู้ว่าเขามีตัวตน ว่าเป็น “ตัวอะไร” ก็เท่านั้น
ณิชชานันท์รู้ว่าตัวเองเป็น “คนสวย” มาตั้งแต่เด็ก ๆ พ่อแม่รวมถึงปู่ย่าตายายและลุงป้าน้าอาชอบที่จะพูดชื่นชมถึงความสวยความน่ารักของณิชชานันท์นั้นอยู่ตลอดเวลา แต่ที่น่ารำคาญก็คือความสวยความน่ารักที่คนเหล่านั้นชื่นชมจะแตกต่างไปตามรสนิยมและความคิดของแต่ละคน ใครอยากให้เธอเป็นอะไรหรือมีรูปลักษณ์เป็นอย่างไรก็จับเธอปั่นเธอแต่งเหมือนยังกับตุ๊กตา ที่แปลก ๆ แตกต่างไปเรื่อย ๆ ซึ่งก็ไม่ได้เป็นไปตามความชอบของเธอนั้นด้วย และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือเธอเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าตัวเธอเองนั้นชอบหรืออยากเป็นอะไร รวมทั้งความสวยงามที่เธอมีเธอก็ไม่รู้ว่ามันจะช่วยให้เธอมีความสุขได้อย่างไร
ผมรู้จักเธอเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ที่จำได้แม่นเพราะปีนั้นเป็นปีที่กรุงเทพฯและชานเมืองถูก “น้องน้ำ” จากทางภาคเหนือไหลหลากมาท่วมขังอยู่เกือบ 2 เดือน และในปีนั้นเราก็มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้หญิงคนแรก เจ้าของวาจาอมตะในการสู้กับน้องน้ำครั้งนั้นว่า “เอาอยู่” โดยณิชชานันท์หรือที่เพื่อน ๆ เรียกชื่อเล่นของเธอว่า “นิดดี้” ได้มาเรียนในหลักสูตรผู้นำยุคใหม่ในระบอบประชาธิปไตย ของสถาบันพระปกเกล้า ที่ผมเป็นกรรมการหลักสูตรและโค้ชประจำงานโครงการของกลุ่มนักศึกษานั้นอยู่ด้วย พอเจอน้ำท่วมในระหว่างที่กำลังศึกษา ก็ต้องมีการหยุดการเรียนการสอนและกิจกรรมต่าง ๆ ไปหลายอาทิตย์ เมื่อน้ำลดจนเดินทางได้สะดวกแล้วก็ต้องเร่งเรียนเสริมและเพิ่มเวลาชดเชย อาจารย์กับนักศึกษาก็ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ซึ่งทำให้ผมได้รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ของนักศึกษาในรายละเอียดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะนิสัยใจคอและความคิดต่าง ๆ
ณิชชานันท์ในสายตาของเพื่อน ๆ ก็เป็น “คนเด่น” คนหนึ่ง นอกจากความสวยที่น่าจะเป็นที่สุดของนักศึกษาในรุ่นนั้นแล้ว ก็คือ “นิสัยและความคิด” ที่แสดงออกโดยการกระทำและคำพูดต่าง ๆ ทั้งที่ผมได้ยินจากเพื่อน ๆ และจากที่ได้ยินจากเธอด้วยตัวของผมเอง ซึ่งผมก็ยอมรับว่า “แปลก” แต่ยังไม่ถึงขั้น “ประหลาด” เพราะผมเคยได้ทราบเกี่ยวกับลักษณะนิสัยแบบนั้นมาบ้าง ซึ่งตัวณิชชานันท์ก็ยังไม่ได้แตกต่างเกินเลยคนแปลก ๆ พวกนั้นไปมากนัก เพียงแต่ว่าถ้าเอาเรื่องการกระทำและความคิดของเธอไปเปรียบกับคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอในสังคมไทย ก็อาจจะดูแตกต่างและดูประหลาดเกินไปบ้าง ทั้งที่เรื่องเหล่านั้นอาจจะเป็นเรื่องที่ออกจะเป็นธรรมดาในบางสังคมหรือในโลกสมัยใหม่
ครอบครัวของณิชชานันท์เป็นครอบครัวขนาดใหญ่ มีสาแหรกตระกูลเชื่อมโยงไปมากมาย ครอบครัวของเธอสืบเชื้อสายมาจาก “จีนเก่า” ที่ลงเรือสำเภามาจากเมืองจีนตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยมาติดต่อค้าขายและตั้งรกรากอยู่ทางภาคใต้ จนถึงสมัย “เล่าก๋ง” ที่คนไทยเรียกว่า “เทียด” (พ่อของทวด)ได้แต่งงานกับสาวไทย และได้เป็นคนแรก ๆ ที่บุกเบิกการทำเหมืองแร่ในอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ทั้งยังได้เป็น “นายอากร” หรือผู้เก็บภาษีให้กับทางราชการในสมัยรัชกาลที่ 5 ต่อมาเมื่อตั้งกระทรวงพระคลังมหาสมบัติขึ้นแล้ว ระบบนายอากรนี้ก็เลิกไป พอถึงสมัย “โจ่วก๋ง” หรือ “ทวด” ที่ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 6 ก็ได้อพยพครอบครัวขึ้นมาที่กรุงเทพฯ พร้อมกับทวดคนอื่นอีก 2 คน รวมเป็น 3 ครอบครัว มาตั้งบ้านเรือนอยู่ติดกันที่คลองสาน ฟากตรงข้ามกับราชวงศ์และสี่พระยาที่มีพ่อค้าคนจีนมาตั้งรกรากและทำการค้าอยู่ก่อนแล้ว โดยเน้นการค้าขายทางเรือ ทั้งที่นำเข้าสินค้าต่าง ๆ จำพวกเครื่องจักรและของใช้จากยุโรป และจัดหาสินค้าพื้นเมืองจำพวกของป่าและของแห้งส่งไปขายแลกเปลี่ยน พอถึงสมัยคุณปู่ที่เป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ได้ร่วมทุนกับกลุ่มเชื้อพระวงศ์และพ่อค้าคนจีนอีก 2 ตระกูล ตั้งธนาคารขนาดเล็กขึ้นมาแห่งหนึ่ง (ปัจจุบันได้ล้มไปแล้วด้วยวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540) รวมถึงที่ได้ขยายกิจการค้าทางเรือไปยังจีนและญี่ปุ่น ครั้นมาถึงรุ่นพ่อก็ถือว่าเป็นคหบดีที่มีฐานะมั่งคั่งเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ
พ่อของณิชชานันท์เคยลงเล่นการเมืองตั้งแต่ตอนหนุ่ม ๆ แต่ไม่ประสบความสำเร็จคือไม่ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. แต่ก็ยังมีเส้นสายโยงใยทางการเมืองอยู่พอสมควร เพราะเป็นธรรมเนียมของพ่อค้าคนจีนมาตั้งแต่ยุคแรก ๆ ที่ต้องพึ่งพาเจ้านาย ซึ่งในสมัยก่อนก็คือพวกพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนาง พอหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งแต่รุ่นปู่หรืออาก๋ง ก็ต้องเข้าหาทหารและนักการเมือง กระทั่งหลัง 14 ตุลาคม 2516 ทหารหมดอำนาจไป ป่าป๊าคือคุณพ่อก็กำลังเป็นหนุ่มฉกรรจ์ จบการศึกษาปริญญาโทมาจากต่างประเทศ ก็อาสาคุณปู่ว่าอยากจะสร้างชื่อเสียงให้กับวงศ์ตระกูล อย่างน้อยก็อยากจะลดค่าใช้จ่ายที่จะต้องจ่ายเบี้ยบ้ายรายทางให้กับนักการเมือง จึงขอลงสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งคุณปู่ก็เลือกพรรคที่อยู่ในกลุ่มนายทุนด้วยกัน แม้ว่าจะแพ้เลือกตั้ง แต่คุณพ่อก็ได้เข้าอยู่ในวงการเมืองด้วยส่วนหนึ่ง โดยได้เป็นตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรี และยังคงเป็นกรรมการของพรรคการเมืองพรรคนั้น ที่พอมีการเลือกตั้งครั้งต่อ ๆ มา ก็เป็นพรรคที่มีจำนวน ส.ส.เพิ่มขึ้น แต่คุณพ่อก็ไม่ได้ลงเลือกตั้งอีก เพราะต้องมาช่วยธุรกิจของครอบครัวอย่างเต็มตัว รวมถึงที่ได้แต่งงานและมีลูกอีก 3 คน ซึ่งณิชชานันท์ก็เป็นลูกคนกลางและเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว ทำให้คุณพ่อมีเวลาให้กับงานการเมืองน้อยลง กระนั้นก็ยังมีนักการเมือง “เรียกใช้บริการ” หรือขอความช่วยเหลือในเรื่องต่าง ๆ อยู่เสมอ โดยเฉพาะ “กระสุน” ในเวลาที่มีการเลือกตั้ง ซึ่งคุณพ่อก็จะบ่นอยู่ตลอด แต่ก็จำเป็นต้องจ่ายเพื่อความอยู่รอดและการเติบโตในทางธุรกิจ รวมถึงอนาคตของลูก ๆ และวงศ์ตระกูลนั้นอีกด้วย
ณิชชานันท์ได้รับการประคบประหงมจากทุกคนในบ้านเป็นอย่างดีมาก ๆ นอกจากพ่อและแม่ที่ให้ความรักแก่เธออย่างทุ่มเทแล้ว พี่ชายและน้องชายของเธอก็ปกป้องดูแล “น้องหญิง - พี่หญิง” คนนี้อย่างดีที่สุดอีกด้วย ตลอดจนญาติคนอื่น ๆ ตั้งแต่ปู่และย่ากับตาและยายลงมาจนถึงลูกพี่ลูกน้องคนอื่น ๆ ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เพราะทุกคนก็ชื่นชมว่าเธอเป็น “คนสวยที่สุด” ในวงศ์ตระกูล ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นคนเรียนเก่ง จบปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับ 1 จากมหาวิทยาลัยเก่าแก่ เช่นเดียวกันกับจบปริญญาโทเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยระดับสุดยอดในยุโรป แล้วได้ทำงานในบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ ที่ในเวลาเพียง 5 ปีก็เติบโตเป็นถึงผู้ช่วยของนายฝรั่งเบอร์หนึ่งในบริษัท ถ้าจะว่ากันด้วยศัพท์แสงของคนสมัยใหม่ก็ต้องบอกว่า ชีวิตของเธอเต็มไปด้วย “สป็อตไลท์” คือทุกสายตาล้วนจับมาที่เธอมาด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
แน่นอนว่าสปอตไลต์ที่ส่องมายังตัวเธอ ย่อมจะต้องมีสายตาของชายหนุ่มจำนวนมากมุ่งมองมาที่เธอเช่นกัน ซึ่งณิชชานันท์ก็รู้ตัวว่าเธอต้องใช้ความระมัดระวังอย่างที่สุด ด้วยส่วนหนึ่งเธอก็ถูกอบรมมาตั้งแต่เด็ก ๆ ในความเป็นลูกสาวคนเดียว ทั้งยังเป็นทายาทของตระกูลธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียง จึงเป็นที่รักที่แหนห่วงอย่างที่สุด และตามธรรมเนียมคนจีนที่มักจะมีการหมั้นหมายลูกชายกับลูกสาวของพวกเจ้าสัวด้วยกันมาแต่โบราณ อาก๋งก็เคยบอกคุณพ่อว่าให้จัดการให้กับเธอนี้ด้วย ซึ่งตอนนั้นเธอยังเรียนอยู่ในชั้นมัธยมต้น ที่พอเธอรู้เข้าก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ไม่คุยกับใคร ๆ อยู่เป็นเดือน จนพ่อกับแม่ต้องมาบอกว่าได้ล้มเลิกแล้ว แต่กระนั้นเธอก็ไม่ค่อยไว้วางใจ เพราะต่อจากนั้นมาก็ยังมีชายหนุ่มถูกนัดหมายให้มาพบกับเธอที่บ้านและตามงานระหว่างเพื่อนฝูงของพ่อกับแม่นั้นอยู่เป็นระยะ โดยเฉพาะตั้งแต่ที่เธอเรียนจบมหาวิทยาลัยมานั้น
เธอรู้ตัวว่าเธอมีความโดดเด่นในหลาย ๆ เรื่อง แต่ที่ไม่รู้ก็คือตัวตนของเธอจริง ๆ นั้นคือใคร หรืออยากเป็นอะไร?