การเดินหน้าร่วมกันพัฒนาที่ยั่งยืนในการแก้ไขปัญหาที่โลกกำลังเผชิญอยู่ โดยเฉพาะปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 ควบคู่ไปกับการยกระดับประเทศไทยสู่ประตูการค้าการลงทุนและยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาค รวมถึงการพัฒนาคนตัวเล็กหรือ SMEs ไทยให้เข้มแข็ง มีศักยภาพสูงและแข่งขันได้ในเวทีโลก EXIM BANK พร้อมใช้จุดแข็งและความเชี่ยวชาญพัฒนาเครื่องมือทางการเงินสีเขียวที่เสริมสร้างการพัฒนาระบบนิเวศการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ยกระดับการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมไทยโดยส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ตลอดจนกระบวนการผลิตสินค้าและให้บริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

และการที่หน่วยงานภาครัฐอย่าง “ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK)” ที่มี “ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร” กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เผยว่า ปัจจุบันทุกภาคส่วนพัฒนาองค์กรและกิจการไปสู่ "ความยั่งยืน" ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาที่โลกกำลังเผชิญอยู่ เช่น ความยากจน ความไม่เท่าเทียม ปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะสภาวะโลกร้อน แก่นสำคัญของเป้าหมายSDGs คือ การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สอดคล้องกับเป้าหมายและพันธกิจของ EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง มุ่งสู่บทบาท "Green Development Bank"

นับตั้งแต่เปิดดำเนินงานอย่างเป็นทางการในปี 2537 EXIM BANK ได้ทำหน้าที่ Lead Bank นำพาผู้ประกอบการไทยไปปักหมุดธุรกิจพลังงานหมุนเวียนทั้งในและต่างประเทศ จำนวนกว่า 400 โครงการ กำลังการผลิตกว่า 8,800 เมกะวัตต์ ลดการปล่อยคาร์บอนได้มากกว่า 100 ล้านตัน โดยเป็นการสนับสนุนทางการเงินกว่า 68,600 ล้านบาทสร้างมูลค่าการลงทุนกว่า 578,300 ล้านบาท รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สนับสนุนธุรกิจไทย รวมทั้ง SMEs ให้ปรับตัวเป็นธุรกิจสีเขียว แข่งขันได้อย่างยั่งยืนในเวทีการค้าโลก

ขณะที่ในปี 2567 EXIM BANK มีแผนเดินหน้าพัฒนาเครื่องมือทางการเงินใหม่ ๆ อีกหลายมิติ อาทิ สินเชื่อเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทยสำหรับดำเนินธุรกิจที่คำนึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลที่ดี การระดมทุนเพื่อนำมาใช้กับโครงการที่เป็นประโยชน์กับสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรทางทะเลโดยเฉพาะ (Blue Bond) เช่น พาณิชยนาวีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การสนับสนุนธุรกิจสีเขียวครอบคลุมScope ที่ 1-2-3 (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง ทางอ้อมที่เกิดจากการใช้พลังงาน และทางอ้อมอื่น ๆ จากการดำเนินงานขององค์กร) เพื่อบรรลุเป้าหมาย EXIM BANK จะเพิ่มสัดส่วน Green Portfolio และที่เกี่ยวเนื่อง จาก 37% ในปัจจุบันให้เป็น 50% ภายในปี 2571 เปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจและธุรกิจไทยไปพร้อมกันบนพื้นฐานของความยั่งยืนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง นั่นหมายถึง การเร่งเติมความรู้ เติมโอกาส และเติมเงินทุน เพื่อให้ SMEs ไทยมีจุดยืนบนเวทีโลกได้อย่างภาคภูมิ รวมถึงกลุ่มเปราะบางทางสังคม ให้มีองค์ความรู้และพื้นฐานอาชีพที่มั่นคงก่อนจะขยายไปสู่ตลาดโลก

ทั้งนี้ ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาลที่ดี ยึดหลักการ "4P" เริ่มต้นจากการดูแลคน (People) เพื่อดูแลโลก (Planet) ด้วยความใส่ใจในประสิทธิภาพ (Productivity) นำไปสู่กำไร (Profit) ซึ่งรวมถึงคุณค่าที่ตอบแทนกลับคืนสู่สังคม โดยวางรากฐานตั้งแต่ภายในองค์กรให้บุคลากรยึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชน  สอดคล้องกับหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ บูรณาการเชื่อมโยงทุกกระบวนการขององค์กรโดยคำนึงถึง ESG สู่เป้าหมาย SDGs

และเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น “ดร.รักษ์” นำทีมเยี่ยมชมกิจการธุรกิจรีไซเคิลเศษเหล็กจากซากรถยนต์เพื่อแปรรูปเป็นวัตถุดิบสำหรับโรงหลอมเหล็กและเชื้อเพลิงแข็งที่ให้ค่าความร้อนสูงสำหรับโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมของบริษัท เวสท์เทค เอ็กซ์โพเนนเชียล จำกัด (Wastech) ภายใต้กลุ่มบริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) (MILLCON) ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของประเทศ เพื่อจำหน่ายในเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) พื้นที่เป้าหมายในการลงทุนด้านการบริหารจัดการและสร้างมูลค่าเพิ่มจากขยะรวมถึงวัสดุเหลือใช้ โดยมีนายทวันทว์ บุณยะวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Wastech และนางสาวสุทธิดา ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีและการเงิน Wastech ให้การต้อนรับและนำเยี่ยมชม

นอกจากนี้ ดร.รักษ์ กล่าวถึงผลการดำเนินงาน ณ สิ้นไตรมาส 3 ของปี 2566 ว่า ธนาคารมีสินเชื่อคงค้าง 164,976 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,161 ล้านบาท หรือเติบโต 3.23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่า 3% ขณะที่มูลค่าส่งออกทั้งปี 2566 คาดว่าจะหดตัว 1-2% แต่ในไตรมาส 4 ปี 2566 ช่วงโค้งสุดท้ายของปี เริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวก โดยเฉพาะภาคการส่งออกที่คาดว่าจะกลับมาขยายตัว โดย EXIM BANK ยังคงเดินหน้าส่งเสริมเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็ง ควบคู่กับการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนา

อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงและสถานการณ์ความไม่สงบในหลายประเทศ EXIM BANK ยังเร่งเสริมสร้างความมั่นใจและภูมิคุ้มกันความเสี่ยงแก่ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยผ่านบริการประกันการส่งออกและการลงทุน โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2566 ปริมาณธุรกิจด้านการรับประกันการส่งออกและการลงทุนเท่ากับ 148,429 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.53% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในส่วนของการสนับสนุนผู้ประกอบการทั้งด้านสินเชื่อและประกันของ EXIM BANK ณ สิ้นเดือนกันยายน 2566 มีจำนวนลูกค้า 6,138 ราย เพิ่มขึ้น 6.05% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นสัดส่วน Penetration Rate ต่อผู้ส่งออกทั้งประเทศ 18% สำหรับในจำนวนนี้ มีลูกค้า SMEs มากถึงกว่า 83% ซึ่งณ สิ้นเดือนกันยายน 2566 EXIM BANK ได้ช่วยเหลือทั้งด้านการเงินและไม่ใช่การเงินแก่ผู้ประกอบการกว่า 27,800 ราย วงเงินรวมประมาณ 91,400 บาท

โดย EXIM BANK ยังบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินและบริหารค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยในระบบที่ปรับสูงขึ้น ทำให้มีกำไรก่อนสำรอง 2,396 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด 18.48% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวนและความเสี่ยงทางการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ ส่งผลให้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2566 EXIM BANK มีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-performing Loans : NPLs) จำนวน 6,665 ล้านบาท NPL Ratio เท่ากับ 4.04% โดยได้มีการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss : ECL) เพิ่มขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตในอัตราส่วน (Coverage Ratio) เท่ากับ 213.15% อยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง

การขับเคลื่อนที่พัฒนาระบบนิเวศ ที่มีจุดแข็ง และความเชี่ยวชาญพัฒนาเครื่องมือทางการเงินสีเขียวที่เสริมสร้างการพัฒนาระบบนิเวศการค้า และการลงทุนระหว่างประเทศ ที่ยกระดับการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมโดยใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรม ตลอดจนกระบวนการผลิตสินค้าและให้บริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม