ด้วยรัฐบาลไทยให้ความสนใจกับตลาดนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาในประเทศเป็นจำนวนมากแล้ว ยังใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ประมาณ 5-6 หมื่นบาท แต่เนื่องจากเวลาพฤติกรรมนักท่องเที่ยวเปลี่ยนแปลงไป จึงทำให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวต้องปรับตัว ในเรื่องนี้ นาย สุรวัช อัครวรมาศ รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) อุปนายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) และที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการท่องเที่ยวสภาผู้แทนราษฎร ได้สะท้อนการดำเนินงานดังกล่าวได้อย่างน่าสนใจ
ตลาดใหม่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
นาย สุรวัช อัครวรมาศ รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) อุปนายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) และที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการท่องเที่ยวสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยในภาพรวมทั้งหมดในเวลานี้ ว่า เป็นไปตามเป้าแรกของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ซึ่งอยู่ที่ 20 ล้านคนนั้นไม่น่าจะมีปัญหา แต่เป้าที่ปรับใหม่เป็น 30 ล้านคนนั้นภายในหนึ่งเดือนข้างหน้ากับสภาวะถดถอยของนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายน่าจะมีปัญหาอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตามแม้จำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดหวังหายไป แต่ยังมีนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นมาในตลาดอย่างเห็นได้ชัด คือ ตลาดอินเดีย ตลาดรัสเซีย ในส่วนของตลาดมาเลเซียที่มาเป็นอันดับหนึ่งอยู่แล้ว ส่วนอีกตลาดหนึ่งที่น่าสนใจ และยังสามารถทำเป้าได้อยู่ คือ ตลาดซาอุดิอาระเบีย เริ่มมีนักท่องเที่ยวเข้ามา แต่ด้วยมีสภาวะสงคราม จึงกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาไทยอยู่บ้างเช่นกัน
โดย นาย สุรวัช กล่าวว่า ในสถานการณ์การเกิดสงคราม มีผลกระทบอยู่ 2 ข้อหลัก คือ 1.จำนวนนักท่องเที่ยว และ 2.ต้นทุนในการทำงานด้านท่องเที่ยวที่จะต้องใช้จ่ายสูงขึ้น ทั้งในเรื่องค่าน้ำมัน และอื่นๆ ที่ต้องใช้จ่ายแพงขึ้น และสำคัญที่สุดฐานหลักที่สุด คือ ตลาดท่องเที่ยวจีน เพราะตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนอยู่ที่ 11 ล้านคนเมื่อปี 2566 และปี 2567 จะต้องได้ประมาณ 40 ล้านคน/ครั้งเท่ากับก่อนโควิด หรือปี 2562
ไทยกับจีนจับมือเพื่อแก้ปัญหา
พร้อมกันนี้ นาย สุรวัช ยังกล่าวต่อว่า ตลาดจีนตอนนี้ได้เพียง 3 ล้านคนขณะที่เคยตั้งไว้ประมาณ 5-6 ล้านคนหลังจากวันที่ 6 มกราคม 2566 ซึ่งเป็นวันที่จีนอนุญาตให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศได้ และรวมกับเดือนกุมภาพันธ์ที่บริษัททัวร์สามารถส่งทัวร์ออกมาได้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะบริษัททัวร์ก็เริ่มที่จะเหมาลำเครื่องบินมาแล้ว แต่บังเอิญว่า เศรษฐกิจจีนและนโยบายของรัฐบาลให้ท่องเที่ยวในประเทศให้มากขึ้น จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของจำนวนคนที่เดินทางออกมานอกประเทศในช่วงที่ผ่านมา
และเมื่อนักท่องเที่ยวเข้ามาในแต่ละประเทศพฤติกรรมก็ไม่เหมือนกัน ทำให้ผู้ประกอบการที่จะเข้ามาทำธุรกิจด้านท่องเที่ยวแต่ละกลุ่มมันไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นนักท่องเที่ยวกลุ่มใดที่ลงทุนไปแล้ว แต่นักท่องเที่ยวไม่มา ก็จะทำให้ธุรกิจนั้นๆ ไม่ฟื้น ก็คือ ส่วนของซัพพลาย ซึ่งการแก้ปัญหาของจีน ภาครัฐจะต้องเข้ามาแก้ปัญหา ด้วยการใช้สื่อของรัฐในจีนเท่านั้น
ซึ่ง นาย สุรวัช กล่าวว่า ช่วง 3-4 เดือนแรกถ้าขจัดปัญหาต่างๆ ในช่วงสิ้นปีจะมีกลุ่มธุรกิจไมซ์จีนเข้ามามาก แต่ในกลุ่มทัวร์นักท่องเที่ยวจะมาไม่ค่อยมาก มั่นใจว่าตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเมษายน จำนวนนักท่องเที่ยวมากกว่าปีที่ 2566 อย่างแน่นอน แต่ด้วยพฤติกรรมการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไปจึงทำให้การวิเคราะห์ถึงจำนวนนักท่องเที่ยวเป็นไปอย่างลำบาก เมื่อตัวเลขไม่ชัดทางรัฐบาล หรือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)ก็จะปรับวิธีการทำตลาดใหม่ แต่ถ้าจะให้วิเคราะห์ตลาดจีน ก็จะมองว่า ตรุษจีนปี 2567 ถ้าเกิดมีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเข้ามามาก ก็หมายความเวลาที่เหลือก็สามารถทำตลาดได้อย่างราบรื่น