ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สิงห์ สิงห์ขจร ประธานคณะกรรมการศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ กล่าวว่า ผลการสำรวจในครั้งนี้เรื่องการสะเดาะเคราะห์ เนื่องจากปัจจุบันสังคมไทยมีปัญหาต่างๆ ทำให้คนในสังคม พยายามหาทางออก หาที่พึ่งทางใจ การสะเดาะเคราะห์เป็นความเชื่อและพิธีกรรมที่ได้รับความนิยมในสังคมไทยมาช้านาน ซึ่งการสะเดาะเคราะห์ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่เมื่อ คนมีความรู้สึกไม่สบายใจ มีเรื่องทุกข์ใจ หรือรู้สึกว่าทำอะไรก็ติดขัด ก็จะไปสะเดาะเคราะห์ โดยการสะเดาะเคราะห์นี้เป็นการทำพิธีตามความเชื่อโบราณว่าจะสามารถช่วยแก้เคล็ด เสริมดวงชะตาให้ดีขึ้น และต่ออายุขัย โดยเชื่อว่าเป็นการขจัดปัดเป่าเคราะห์ร้าย สิ่งอัปมงคลต่างๆ ออกไปจากชีวิต เพื่อเปิดรับสิ่งดีๆ เข้ามา ในวัฒนธรรมไทย โดยวิธีการสะเดาะเคราะห์ที่นิยมทำกัน ได้แก่การสะเดาะเคราะห์ โดยการไปวัดทำบุญ ถวายสังฆทาน ปิดทองพระ อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร การแก้ปีชง คือการไปขอพรจากเทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ยะ ซึ่งเป็นเทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตาในแต่ละปีตามความเชื่อของจีน โดยผู้ที่เกิดในปีชง (ปีนักษัตรที่ไม่ถูกกันกับปีปัจจุบัน) เชื่อว่าจะประสบเคราะห์ร้ายต่างๆ การทำพิธีแก้ปีชงจึงถือเป็นการสะเดาะเคราะห์เพื่อปัดเป่าเคราะห์ภัยเหล่านั้นออกไป การถือศีล การเข้าวัดปฏิบัติธรรม ถือศีล 8 ศีล 10 เป็นเวลาหนึ่งวันหรือหลายวัน เชื่อว่าจะช่วยให้จิตใจสงบ สะอาด บริสุทธิ์ เป็นการสะเดาะเคราะห์ล้างมลทิน สิ่งอัปมงคลต่างๆ ออกจากชีวิต แต่การสะเดาะเคราะห์เป็นความเชื่อที่ทำให้มีผู้ไม่หวังดีหลอกลวงคนในสังคมทำให้ศูนย์เสียเงินทองเป็นจำนวนมาก หรือถึงขนาดทำให้เกิดการกระทำล่วงละเมิดทางเพศ โดยผลการสำรวจในครั้งนี้ต่อเรื่องการสะเดาะเคราะห์ มีข้อมูลที่น่าสนใจดังต่อไปนี้

กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ คิดว่าคนในสังคมไทยมีปัญหารุมเร้า ทำให้เกิดการไปสะเดาะเคราะห์ ร้อยละ 87.9 และ เคยไปทำการสะเดาะเคราะห์ ร้อยละ 80 

สาเหตุที่กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ไปทำการสะเดาะเคราะห์ อันดับที่ 1 คือ รู้สึกดวงไม่ดี ร้อยละ 21.8 อันดับที่ 2 คือ เจอปัญหาหาทางออกไม่ได้ ร้อยละ 19.7 อันดับที่ 3 คือ มีความไม่สบายใจ ร้อยละ 16.3 อันดับที่ 4 คือ ไม่เคยไป ร้อยละ 14.9 อันดับที่ 5 คือ เพื่อนชวนไป ร้อยละ 13.9 และอันดับสุดท้ายคือ ปีชง ร้อยละ 13.6

ในส่วนของสถานที่เคยไปทำการสะเดาะเคราะห์ อันดับที่ 1 คือ วัด ร้อยละ 45.2 อันดับที่ 2 คือ ศาลเจ้าจีน ร้อยละ 41.9 อันดับที่ 3 คือ สำนักเข้าทรง ร้อยละ 28.9 อันดับที่ 4 คือ วัดพราหมณ์ ร้อยละ 28.2 อันดับที่ 5 คือ ศาลเทพ ร้อยละ 19.5 และอันดับสุดท้ายคือ ไม่เคยไป ร้อยละ 15

กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่วิธีที่ไปทำการสะเดาะเคราะห์ อันดับที่ 1 คือ ทำบุญที่วัด ร้อยละ 45.8 อันดับที่ 2 คือ ทำทานคนยากไร้ ร้อยละ 36.4 อันดับที่ 3 คือ บริจาคเลือด ร้อยละ 33.3 อันดับที่ 4 คือ บริจาคโรงศพ ร้อยละ 26.2 อันดับที่ 5 คือ ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ร้อยละ 24.1 และอันดับสุดท้ายคือ ไม่เคยไป ร้อยละ 14.8

การใช้จ่ายในการสะเดาะเคราะห์เป็นจำนวนเงิน อันดับที่ 1 คือ 101 – 500 บาท ร้อยละ 48.8 อันดับที่ 2 คือ 501 – 1,000 บาท ร้อยละ 39.6 อันดับที่ 3 คือ มากกว่า 1,000 บาทขึ้นไป ร้อยละ 6.1 และอันดับสุดท้ายคือ น้อยกว่า 100 บาท ร้อยละ 5.5

กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ คิดว่าการไปทำการสะเดาะเคราะห์ ทำให้ชีวิตดีขึ้น ร้อยละ 87.5 และคิดว่าสังคมไทย มีความเชื่อที่งมงาย ทำให้เกิดความคิดในการไปสะเดาะเคราะห์ ร้อยละ 74.7 

ในส่วนของการรู้จักสถานที่ในการสะเดาะเคราะห์ อันดับที่ 1 คือ สื่อบุคคล ร้อยละ 27.9 อันดับที่ 2 คือ สื่อโทรทัศน์ ร้อยละ 20 อันดับที่ 3 คือ เฟซบุ๊ก (Facebook) ร้อยละ 23.7 อันดับที่ 4 คือ ยูทูบ(Youtube) ร้อยละ 15.7 อันดับที่ 5 คือ ติ๊กต็อก (Tiktok) ร้อยละ 8

คิดว่าข่าวของเคยที่ไปสะเดาะเคราะห์ แล้วเกิดปัญหาทุกหลอกลวงเงินทอง และอาชญกรรมทางเพศ ทำให้คิดว่าการสะเดาะเคราะห์มีความอันตราย ร้อยละ 71.8 และ คิดว่าหน่วยงานของรัฐควรมีการควบคุมสถานที่สะเดาะเคราะห์ เพื่อป้องกันการหลอกลวงเงินทอง และอาชญกรรมทางเพศ ร้อยละ 73.6