วันนี้ (15 ธ.ค.66) เวลา 10.00 น.นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน ได้เดินทางมายื่นคำร้องขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบการใช้อำนาจของนายก อบจ.นครนายก กรณีแย่งสิทธิ์ในที่ดินของชาวบ้านที่บริจาคให้ทำถนนทางหลวงชนบทเกินจริง ชี้เป็นการใช้อำนาจเกินส่วนเข้าข่ายความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมหรือไม่ อย่างไร
ทั้งนี้สืบเนื่องจาก มีชาวบ้านนครนายกได้รับความเดือดร้อนและไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการใช้อำนาจ หรือนอกเหนือจากอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายจาก อบจ.นครนายก หลังจากที่ชาวบ้านได้อุทิศที่ดินให้ทำถนนทางหลวงชนบทสาย นย.2030 ในระยะทางประมาณ 1 กม. กว้าง 5-6 เมตรเท่านั้น แต่องค์การบริหารส่วนจังหวัด กลับอ้างว่าความกว้างของถนนที่แย่งสิทธิ์กับชาวบ้านบริเวณดังกล่าวมีความกว้างตั้งแต่ 15.6 ถึง 18 เมตร เมื่อชาวบ้านไม่ยินยอมกลับส่งเจ้าหน้าที่ไปแจ้งความเอาผิดเจ้าของที่ดินข้อหาบุกรุกอีกด้วย
ก่อนหน้านี้องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครนายกได้รับโอนถนน นย 2010 (สายวัดอารีราษฎร์-บ้านช่องตะเคียน) มาจากทางหลวงชนบทนครนายก เมื่อ 20 ก.พ.2546 โดยถนนเส้นดังกล่าวแยกออกมาจากทางหลวงแผ่นดิน สาย 3369 ซึ่งชาวบ้านก็ได้อุทิศให้มีความกว้างของถนนเพียง 10 เมตร จึงเป็นที่น่าแปลกใจว่าถนนทางหลวงชนบท ซึ่งเป็นถนนสายรอง กลับจะมีความกว้างมากกว่าถนนสายหลักหรือถนนทางหลวงแผ่นดินได้อย่างไร อีกทั้งตลอดระยะทางของถนนสายดังกล่าวประมาณ 15 กม.นั้น มีความกว้างไม่เท่ากัน ในจุดที่แย่งสิทธิ์กับชาวบ้านมีความกว้าง 15.6-18 เมตร แต่พอเลยที่ดินแปลงกังกล่าวไปย่อความกว้างเหลือ 8 เมตรเท่านั้น เป็นไปได้อย่างไร
เรื่องนี้เจ้าของที่ดินเดิมที่อุทิศที่ดินของตนให้กับทางหลวงชนบทได้ให้การยืนยันต่อ สภ.องค์รักษ์ไว้ชัดเจนว่าได้อุทิศที่ดินให้กับทางราชการมีความยาว 1050 เมตรมีความกว้าง 5-6 เมตรเท่านั้น แต่เมื่อมีการโอนสิทธิ์การดูแลถนนไปให้ อบจ.นครนายกดูแลต่อผู้บริหาร อบจ.นครนายกกลับมาอ้างสิทธิ์ในเขตทางกว้างมากถึง 15.6 – 18 เมตร เยี่ยงนี้ถือเป็นการใช้อำนาจรังแกชาวบ้านเกินไปหรือไม่
ด้วยเหตุดังกล่าว ชาวบ้านที่ถูกแย่งสิทธิ์จึงมาร้องขอให้องค์การรักชาติ รักแผ่นดิน นำความไปร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.เพื่อขอให้ไต่สวนและวินิจฉัยว่าการใช้อำนาจของนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครนายก กับหวก เป็นการใช้อำนาจโดยไม่เป็นธรรมและฝ่าฝืนกฎหมายของ ป.ป.ช.หรือไม่ อย่างไร และหากเข้าข่ายการทุจริตต่อหน้าที่ หรือตำแหน่งหน้าที่ราชการ ขอให้ดำเนินการลงโทษตามครรลองจนถึงที่สุด เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป นายศรีสุวรรณ กล่าวในที่สุด