ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
“การบรรลุสู่ความสำเร็จในชีวิตหนึ่งนั้น หาใช่การปฏิบัติที่เบาบางหรือง่ายดาย..แต่มันคือการปฏิบัติที่จริงจังและซับซ้อนเท่าที่ชีวิตจักสามารถเรียนรู้และสัมผัสได้อย่างถ่องแท้..มันคือกลไกแห่งการปฏิบัติทางจิตวิญญาณที่สูงค่าเสมอในความเป็นหลักการณ์อันจริงจังของชีวิต..นั่นคือแง่มุมอันพิเศษ ที่คนเรา ณ วันนี้ต้องรับรู้และเรียนรู้สู่รากเหง้าแห่งความเป็นตัวตนให้ได้..มันคือปัญญาญาณของแบบแผนแห่งชีวิตอันยั่งยืนและสองตอบต่อเจตจำนงในความเป็นชีวิต..เสมอ”
นี่คือรากฐานแห่งบทเริ่มต้นของหนังสือที่ทรงพลังต่อการขบคิดอย่างยิ่ง.. “MANIFEST : 7 ขั้นตอนสู่ทุกสิ่งที่ปรารถนา” ..งานเขียนจากฝีมือของ “Roxie Nafousi” บล็อกเกอร์และนักเขียนสาว สัญชาติอังกฤษ-อิรัก..วัย 33 ปี ที่เขียนผลงานอันมีค่านี้ออกมาอย่างลุ่มลึกและชวนติดตามศึกษายิ่ง..
.. “MANIFEST”..หมายถึง..การกระทำบางสิ่งบางอย่างให้ประสบความสำเร็จ เป็นที่ประจักษ์ หรือทำให้เกิดขึ้น..โดยมีรากเหง้ามาจากความคิดที่ว่า...ใครก็ตามย่อมปรารถนาความสุขสำเร็จในสิ่งที่ตนมุ่งหวัง...หนังสือเล่มนี้เปรียบดั่งเครื่องชี้ทางให้บรรลุสู่ความปรารถนาอันมีค่านั้น..โดยแนวทางที่ “Roxie” ได้ชี้แนะไว้ 7 วิธีการด้วยกัน..ดั่งนี้..
1.สร้างภาพความปรารถนาของเราให้ชัดเจนก่อน (Be Clear in Your Vision) ..ทุกอย่างจะเกิดขึ้น 2 ครั้งเสมอ...ครั้งแรกในความคิดของเรา/และอีกครั้งคือเกิดขึ้น..ในความเป็นจริง..(Everything is Created Twice, First in the Mind And Then in Reality)
ซึ่งก็หมายความว่า..การที่เราปรารถนาจะทำอะไรให้สำเร็จนั้นขั้นตอนแรกก็คือ..เราจำเป็นที่จะต้องรู้ก่อนว่า..เราปรารถนาที่จะทำอะไร..นึกคิดเอาไว้ก่อนให้ดี (Visualize)...เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราคิดหรือจินตนาการถึงเรื่องใดขึ้นมา..สมองของเราจะรับรู้ได้..ซึ่งก็เปรียบเสมือนเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นจริงๆ และ หากเราคิดถึงสิ่งที่เราปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จเป็นประจำ..สมองของเราก็จะจดจำแต่สิ่งเหล่านั้น..และพร้อมที่จะกระตุ้นให้ตัวเราพยายามที่จะเร่งเข้าหาสิ่งเหล่านั้นเหมือนดั่งกฎแรงดึงดูด(Law of Attraction)นั่นเอง..
ซึ่งเทคนิคของ “Visualize” ประกอบด้วย...ให้เราลองคิดถึงใครก็ตามที่เราอยากที่จะเป็นในอนาคต/สามารถในการใช้สมาธิควบคู่ไปกับการจินตราการ/การใช้ “Vision broad” เพื่อเขียนเพื่อเขียนหรือวาดสิ่งที่เราปรารถนาออกมาในกระดาษหรือบอกรึให้ชัดเจน/และ..พยายามระบุอย่างชัดเจน..ถึงสิ่งที่เราปรารถนาหรืออยากเป็น..เพราะยิ่งชัดเจนเท่าไหร่..สมองก็ยิ่งจะเห็นภาพได้มากขึ้นเท่านั้น..
2.กำจัดความกลัว และข้อกังขาในตัวเราออกไป (Remove Fear and Doubt) ว่ากันว่า..การที่คนเรากระทำหรือแสดงออกถึงสิ่งใดออกมานั้น พฤติกรรมส่วนใหญ่มาจาก “subconscious mind” หรือจิตใต้สำนึกมากถึง 95 เปอร์เซ็นต์..แม้ว่า..จิตใต้สำนึกของเราจะมีพลังมหาศาลที่จะทำอะไรได้ตั้งมากมาย แต่มันก็มีพลังมหาศาลที่ฉัดรั้งเราไม่ให้ทำอะไรต่างๆได้ตั้งมากมาย..ซึ่งสิ่งนั้นคือ ความกลัว และ..ความสงสัยหรือข้อกังขาในตัวเอง../ซึ่งความกลัวและความสงสัยนี้..ถือเป็นพลังที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาคู่กับมนุษย์เรา..เพื่อที่จะปกป้องตัวเราจากความผิดหวัง และ มันจะคอยส่งสัญญาณบอกตัวเรา..ว่าให้ประจักษ์รู้ถึงความไม่ดีพอ..เรายังไม่พร้อม ในการที่จะทำในสิ่งนั้นๆ..
เหตุนี้..เราจึงจำเป็นต้องฝึกความคิดของเรา..ต้องไม่คิดลบ..แต่ให้คิดบวกว่า..สิ่งที่เราหวังนั้น..สามารถเป็นไปได้..และเราสามารถที่จะทำได้../ในหนังสือนี้..ใช้คำว่า.. “mantra” อันมีความหมายคล้ายดั่งว่า “การกระทำ” (positive affirmations) อันหมายถึง..การพูดซ้ำกับตัวเองเพื่อควบคุมจิตและความคิดของเราเอง..การทำแบบนี้เป็นการช่วยเพิ่มการรับรู้(awareness)..ตลอดจนคลื่นความถี่เชิงบวก (vibes)จากร่างกายของเราด้วย..
3.ปรับพฤติกรรมของเราให้สอดคล้องกับเป้าหมาย(Align Your Behaviour) มันคือ..ขั้นตอนปฏิบัติหรือการแสดงออกทางพฤติกรรม ให้สอดคล้องกับเป้าหมายของตัวเราเอง..โดยการ..กระตือรือร้นต่อการปฏิบัติตามเป้าหมายของตัวเรา(Be Proactive)..ให้ทำเหมือนกับว่า..เมื่อเราทำอะไรสำเร็จแล้ว..เราจะต้องทำอย่างไร..ในแต่ละวันต้องทำอะไรบ้าง สำหรับผู้ที่ประสบความสำเร็จ ในหน้าที่การงานต่างไป../การจะเริ่มทำสิ่งใหม่..เราจะต้องเริ่มจากการถามตัวเองว่า.. “ทำไม” ..ทำไมเราจึงต้องทำสิ่งนั้น..และ การที่เรารู้เหตุผลว่าทำไม..เราจะทำสิ่งนั้นได้อย่างสม่ำเสมอ..
ฝึกสร้างนิสัยที่ดีให้สอดคล้องกับเป้าหมายของเรา..และเมื่อเราได้ทำมันจนเป็นนิสัยแล้ว..อะไรก็จะไม่ยากอีกต่อไป.. “ให้เราเป็นตัวเองอย่างแท้จริง(Authenticity)..เพราะเมื่อใดก็ตามที่สิ่งที่ที่เราต้องการทำ สอดคล้องกับความเป็นตัวตน
ของเรา มันก็จะช่วยเสริมส่งให้เราประสบความสำเร็จได้มากยิ่งขึ้น”
4.เอาชนะบททดสอบที่จะเข้ามา (Overcome Test from the Universe)..มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่า..ความเป็น Mindset นั้นมีอยู่ 2แบบคือ “Scarcity Mindset” และ “Abandance Mindset” ..แบบแรก..คือการที่เราเชื่อว่า..ความรัก ความสำเร็จ ความเชื่อ บนโลกนี้มีจำกัด/ส่วนแบบที่สอง..จะมีลักษณะในเชิงตรงข้ามคือ..เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่เหลือเฟือ..เหตุนี้..เราจึงควรมองโลกแบบ “Abandance Mindset” ที่เชื่อว่า..ความสุขสำเร็จนั้นมีเหลือเฟือ..มันรอให้เราไปค้นหา..ความเชื่อแบบนี้..จะทำให้เราพยายามที่จะค้นหาความสุขสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนา..รวมไปถึงการไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคใดๆ “บางครั้งเราจำเป็นต้องอดทนรอให้นานขึ้นอีกหน่อย..ความสำเร็จนั้นอาจจะอยู่เพียงแค่เอื้อม..และเมื่อเจอกับอุปสรรคก็ให้คิดเสียว่า..เป็นการเรียนรู้ให้ตัวเองมีศักยภาพขึ้น..”
5.ยอมรับและตระหนักในสิ่งที่เรามี (Embrace Gratitude)..การขอบคุณ(Gratitude)..เป็นแนวคิดในการพัฒนาตนเองของทางตะวันตกซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมาก..เพราะเมื่อเราได้รับภาวะแห่งความรู้สึกนี้มามันก็เหมือนกับว่า..มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีต่อการได้รับพลังบวก..คนไทยอาจจะไม่ชินกับคำนี้สักเท่าไร..แต่มันก็มีประเด็นเกี่ยวกับนัยอันมีคุณค่านี้ให้เราได้แนบชิดอยู่พอสมควร..
Gratitude for the World..ขอบคุณต่อสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นอากาศ หรือ สิ่งแวดล้อม เป็น อาทิ Gratitude for the self..ขอบคุณต่อตัวของเราเอง..ต่อทุกสิ่งในชีวิตที่เรามี..ต่อความขยันหมั่นเพียร..รวมถึงโอกาสในการต่อสู้กับอุปสรรคที่ยากลำบากต่างๆ..ที่นำเราจนมาถึงวันนี้..
Gratitude for life..ขอบคุณในสิ่งต่างๆที่ได้เข้ามาในชีวิตของเรา นับแต่..ครอบครัว หน้าที่การงาน เพื่อน..คนที่รัก หรือสถานที่พักพิงและอยู่อาศัยต่างๆของเรา.. “ให้เราจำไว้ว่า..ถึงจะอยู่กับวันที่เลวร้ายเพียงใด ก็ให้ถือว่า..ยังมีเรื่องดีซ่อนอยู่เสมอ..เราต้องพยายามมองหาเรื่องดีๆในวันนั้น..แล้วจดบันทึก ทำ “Journaling”..นั่งคิดถึงสิ่งดีๆ แล้วจดลงไป ...จะช่วยให้เราผ่อนคลายจากเรื่องร้ายๆ ที่เราประสบพบเจอมาได้..แล้วมันจะส่งพลังบวกกลับมาให้เราแทน”
6..เปลี่ยนความอิจฉาเป็นแรงบันดาลใจ (Turn Envy into Inspiration).. ความอิจฉาคือพลังลบที่เกิดจาก “Scarcity mindset” ..ความอิจฉาเกิดจากการไปมอง เห็นคนอื่นได้ดีเหนือเรา แล้วตั้งคำถามว่าทำไมถึงเป็นเขาไม่ใช่เรา..นั่นแสดงถึงว่า..เราไม่มั่นใจหรือเห็นคุณค่าในตัวเราเอง..ว่าก็ทำแบบนั้นได้เหมือนกัน..ส่วนแรงบันดาลใจนั้นเป็นพลังบวก ที่ช่วยเสริมให้เราเกิดความพยายามซึ่งเกิดจาก “abundance Mindset” ที่เชื่อกันว่า..ความสุขสำเร็จนั้นมีเหลือเฟือเพื่อให้คนไขว่คว้า..ซึ่งเมื่อไรก็ตามที่เรารู้สึกรักตัวเองจริงๆ โดยปราศจากเงื่อนไข..เราจะรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง จนไม่คิดที่จะอิจฉาคนอื่น..อีกเลย..
7.เชื่อมั่นในจักรวาลว่า..สิ่งดีๆจะต้องเกิดขึ้นกับตัวเรา..(Trust in the Universe) สุดท้ายแล้ว..ให้เราเชื่อมั่นว่า..ในจักรวาลนี้..สิ่งดีๆจะต้องเกิดขึ้นกับเรา..เพราะเมื่อเราได้พยายามทำทุกอย่าง..อย่างเต็มที่แล้ว..สิ่งที่เราหกวังก็จะเกิดขึ้นได้ในที่สุด..
"ศัตรูตัวร้ายที่สุดที่เราต้องพบเจอ..คือ"ความไม่อดทน"..ของตัวเราเอง..นั่นคือสิ่งที่จะทำให้ต้องยอมแพ้ไปเสียก่อน หรือไม่ก็ต้องการเห็นผลลัพธ์ความสำเร็จเร็วๆ..ครั้นเมื่อไม่เห็นผลลัพธ์ดั่งหวัง..ก็อาจจะทำให้เราเลิกทำในสิ่งที่ถูกต้องและสมควรกระทำไปเสียก่อน..
รากเหง้าแห่งประพันธกรรมอันสำคัญของ “MANIFEST”..ก็คือ “Roxie Nafousi” ผู้เขียนได้เคยประสบปัญหา รุมเร้าอย่างมากมายในชีวิต..แล้วได้มีโอกาสได้ฟัง “Podcast” หนึ่งที่นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องนี้....จึงทำให้เธอได้ไปศึกษาเพิ่มเติม..แล้วนำมาปฏิบัติด้วยตัวเอง..กับตัวเอง จนกระทั่งเห็นผลลัพธ์จากการทำ “MANIFEST”...อันหมายถึงการทำบางสิ่งบางอย่างให้สำเร็จ ให้เกิดขึ้น..จนเป็นที่ประจักษ์..เธอมุ่งหวังกรอบความคิดที่เธอค้นพบและตระหนักรู้เบื้องต้น..เพื่อชี้แนะหนทางแห่งความสำเร็จแก่ผู้อื่นผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย..รวมทั้งผ่านหนังสือเล่มนี้..
ผมถือเอาหกนังสือเล่มนี้เป็นรากเหง้าต่อการสร้างความหมายในบทบาทเชิงลึกต่อชีวิต..แม้จะเจอปัญหาและพบกับอุปสรรคเพียงใด..เรามีโอกาสที่จะฟื้นคืนจิตวิญญาณให้แข็งแกร่งขึ้นได้ด้วยภาวะรับรู้เชิงประจักษ์ การทดลองความจริงกับความคิด จนเกิดภาวะแข็งแกรร่งและเติบกล้าได้..มันคือโอกาสอันถาวรที่จะนำไปสู่ความสมปรารถนาของชีวิตอันเป็นที่สุด..ความสมปรารถนาที่หลุดพ้นออกมาจากบ่วงทุกข์อันชวนเวทนาและหนักอึ้ง..แท้จริง...!!!
“สิ่งทุกสิ่งบนโลกนี้..ถูกสร้างขึ้นสองครั้ง..ครั้งแรกในใจ และครั้งที่สอง ในความเป็นจริง"
"Everything is Created twice,first in the mind and then in reality"