"เศรษฐา" ตอกย้ำ 314 เสียงพรรคร่วมรัฐบาลเหนียวแน่นดี ยังไม่จำเป็นต้องเสริมทัพ บอกมีปัญหาต้องแก้เยอะ ไม่มีเวลามาเล่นการเมือง ไม่ขอก้าวก่าย มาดามเดียร์ประกาศคว่ำบาตรกก.บห.ประชาธิปัตย์ชุดใหม่ ลั่นพร้อมทบทวนบทบาทสมาชิกหากพรรคกลับลำร่วมรัฐบาล ด้าน แพทองธาร ยอมรับอยากให้พ่อพ้นโทษยิ่งเร็วยิ่งดี กมธ.ตร. เรียก กรมราชทัณฑ์-รพ.ตำรวจ แจงปมทักษิณนอนรพ. วัชระ จี้บุกพิสูจน์ชั้น14 อดีตนายกฯ ยังอยู่หรือไม่
ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.66 เวลา 08.25 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวก่อนเดินทางไปร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ถึงกรณีมีความเป็นห่วงเรื่องการเมืองหรือไม่ ว่า ไม่มีครับ 314 เสียง" เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ยังเหนียวแน่นดี ไม่มีอะไรใช่หรือไม่ นายเศรษฐา ตอบว่า "ไม่มีครับ ไม่มี"
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ไม่ต้องเพิ่มเติมใช่ไหม นายเศรษฐา กล่าวว่า "ไม่มีครับ เราพูดจากันด้วยดี ทุกๆ ท่าน ช่วยทำงานกันอย่างเต็มที่ ทุกท่านทราบดีว่าความคาดหวังของพี่น้องประชาชนคืออะไร เรามีปัญหาเยอะในตอนนี้ ไม่มีเวลามาเล่นการเมืองหรอกครับ" เมื่อถามตอกย้ำว่า จำเป็นต้องเสริมทัพเพิ่มไหม นายเศรษฐา ตอบแค่ว่า 314 เสียง
นายกฯ ยังได้กล่าวถึงกรณีเชิญ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(ผบช.ก.) มาพบ ก่อนเดินทางต่างประเทศ ว่า ที่เรียนเชิญผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางมาพบ เพราะมีเรื่องที่คุยค้างไว้หลายเรื่อง ทั้งเรื่องของคดีต่างๆ ที่เรามอบหมายให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)ไปดูแล ซึ่งก็ต้องให้ทางผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางตรวจสอบหรือทำงานร่วมกันต่อไป และมาครั้งนี้ก็เพื่อให้มารายงานความคืบหน้าด้วยว่ามีความหนักใจอะไรด้วยหรือเปล่า ก็อยากมาฟังข้อคิดเห็นจากท่าน
เมื่อถามถึงกรณีสภาล่มตั้งแต่ประชุมวันแรกเมื่อวันที่ 13 ธ.ค.ที่ผ่าน ได้กำชับส.ส.ในพรรคร่วมรัฐบาลอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ในส่วนของพรรคเพื่อไทย ตนเข้าใจว่าทุกคนรู้หน้าที่ของตัวเองดี และคงไม่ไปก้าวก่าย เพราะตนอยู่ฝ่ายบริหาร
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีประชุมสภาล่มตั้งแต่เปิดสมัยประชุมวันแรก ว่า จะต้องกำชับส.ส.ในเรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว เพราะการประชุมสภามีความสำคัญทุกครั้ง เพราะฉะนั้นการที่ไปร่วมคือการให้ความสำคัญและคิดว่าสส.หลายคนไม่ใช่ของพรรคเพื่อไทยอย่างเดียว ทุกคนที่เป็นส.ส.ที่ถูกเลือกจากพี่น้องประชาชนจะต้องทราบอยู่แล้ว ว่าการประชุมสภามีความสำคัญ
น.ส.แพทองธาร ยังกล่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ หลังกรมราชทัณฑ์ออกระเบียบใหม่เรื่องการจำคุกนอกเรือนจำของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รวมระยะเวลาการรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลตำรวจซึ่งเกิน 100 วันไปแล้วโดยนับเป็นวันจำคุก ว่า ระเบียบที่ออกมานั้นมีมาตั้งแต่ปี 2560 ส่วนตัวคิดว่า กฎนี้ไม่ได้ออกมาเพื่อใครและยังไม่ทราบว่า คุณพ่อเข้าข่ายหรือไม่พูดจริงๆว่ายังไม่ทราบ
ออกยิ่งเร็วยิ่งดี นี่เป็นความรู้สึกของลูก ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วใครอยากจะให้เป็นแบบนี้ แต่ในเรื่องอื่นขอให้เป็นในเรื่องของกระบวนการยุติธรรมของกรมราชทัณฑ์และคุณหมอเพราะว่าเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ สิ่งที่ทำได้คือให้กำลังใจกันเองในครอบครัวเพราะคุณพ่อได้สร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติอย่างมากมายและขอให้ท่านมีกำลังใจที่เมื่อออกมาอย่างแข็งแรง และสามารถผลักดันนโยบายต่างๆ ในแง่ของเป็นที่ปรึกษาทั้งตัวของตนเองและใครก็ตามที่ยังเคารพรักท่านอยู่ให้ได้มีความรู้ใช้ความรู้ความสามารถของท่านให้ประเทศชาตินี้ไปอยู่ในจุดที่ดีขึ้นเรื่อยๆและไม่มีวันถอยหลังนี่คือสิ่งที่ตั้งใจและอยากให้มันเป็น
นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงปัญหาสภาล่มระหว่างการลงมติรับหลักการร่างข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ฉบับแก้ไข เมื่อวานนี้(13ธ.ค.) ว่า ต้องดูคำชี้แจงของพรรคเพื่อไทยในอดีตที่เคยพูดเอาไว้ว่าองค์ประชุมเป็นหน้าที่ของรัฐบาล แล้ววันนี้ใครเป็นรัฐบาล พรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ องค์ประชุมไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลแล้วหรือ ส่วนฝ่ายค้านมีเจตนาที่ทำหน้าที่ตรวจสอบว่า สส. ของพรรครัฐบาลมาทำหน้าที่ในจำนวนเท่าไหร่ครบองค์ประชุมหรือไม่ ซึ่งวันแรกของการเปิดประชุม หากเปรียบวันแรกการเปิดเทอมนี่ก็คือวันแรกที่นักเรียนจะต้องมาเรียนครบแต่พบว่ากลับมาไม่ถึง 250 คนหรือไม่ถึงกึ่งหนึ่งแปลว่าอะไร
"เราไม่ได้ตั้งใจจะให้ล่ม ตั้งใจว่าหากเสียงของรัฐบาลถึง 250 ก็ตั้งใจว่าจะเติม แต่เราต้องการให้ประชาชนได้ตรวจสอบว่า สส.ของรัฐบาลสุดท้ายมากันครบหรือไม่ เพื่อให้ประชาชนได้เห็นว่าการทำงานของรัฐบาลที่อยากจะเข้ามาเป็น สส. กันนักหนาสุดท้ายอยู่ทำหน้าที่หรือไม่" นายรังสิมันต์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะส่งผลกระทบที่เสียหายต่อภาพลักษณ์ของสภาฯหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ทุกคนเห็นอยู่แล้ว ทุกคนเห็นหมดว่าเกิดอะไรขึ้น และฝ่ายค้านต้องการปกป้องภาพลักษณ์ แต่ก็ต้องยอมรับความเป็นจริงว่าหากเป็นการปกป้องแล้วแต่ไม่ได้นำไปสู่การแก้ไขปัญหาก็ไม่มีประโยชน์ดังนั้นจึงคิดว่าหากได้เห็นว่ามี สส. บางกลุ่มไม่ได้ตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองแล้วจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้เชื่อว่าจะเป็นหนทางที่ดีกว่า
ที่รัฐสภา น.ส.วทันยา บุนนาค สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวเปิดใจถึงบทบาทของตัวเองต่อพรรคประชาธิปัตย์หลังจากนี้ ภายหลังถูกสกัดการลงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ว่า ตนจะยังคงตั้งมั่นและมุ่งมั่นเดินหน้าทำงานสิ่งที่เป็นประโยชน์ แก้ไขกฎหมายที่เป็นปัญหาต่อประชาชนต่อไปโดยไม่จำเป็นต้องรอให้มีตำแหน่งหรืออำนาจใดๆ แต่กิจกรรมทั้งหมดที่ขับเคลื่อนโดยกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่จะของดเว้นบทบาท และยุติบทบาทการทำงานกับพรรค แต่จะยังคงเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อทำงานที่เป็นประโยชน์กับประชาชนต่อไป แต่กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับพรรค โดยเฉพาะผู้บริหารพรรคชุดปัจจุบัน ตนจะไม่ขอเข้าร่วม
น.ส.วทันยา กล่าวถึงการสืบหาข้อเท็จจริงกรณีที่มีแชทหลุดล็อบบี้สกัดการลงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ของตนเอง โดยมั่นใจ ว่าสื่อมวลชนได้มีการเปิดเผยชื่อของผู้ส่งข้อความดังกล่าวแล้ว และยังเป็น 1 ในคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ชุดใหม่ด้วย ซึ่งตนเชื่อว่าการสกัดกั้น กีดกันการแข่งขันของตนนั้น สังคมจะรับทราบและเห็นเป็นประจักษ์แล้วว่า มีความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นในการเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คนที่ 9 เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา แต่เหตุที่เกิดขึ้น ตนไม่ขอไปร้องเรียนใดๆ เพิ่มเติม เพราะการเลือกหัวหน้าพรรคได้ข้อยุติแล้ว
ดิฉันไม่ศรัทธาในวิถีการทำงานเมืองในลักษณะดังกล่าว โดยเฉพาะการมีแชทไลน์การล็อบบี้หลุด หรือการกีดกันสกัดกั้นทางการเมือง ที่สะท้อนความไม่เป็นธรรม และเป็นข้อกังขาถึงความสง่างามของคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ จึงขอยุติบทบาท และกิจกรรมทางการเมืองที่ขับเคลื่อนโดยคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยจะยังคงเหลือเพียงการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น น.ส.วทันยา กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงสาเหตุที่ยังไม่ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ทั้งที่สมาชิกรุ่นเก่าตัดสินใจหันหลังให้กับพรรคประชาธิปัตย์นั้น น.ส.วทันยา กล่าวว่า ระหว่างนี้ยังขอรอดูทิศทางการทำงานของพรรคให้ชัดเจนกว่านี้ก่อน เพราะยังจะต้องให้ความเป็นธรรมกับกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ด้วย แม้จะไม่ได้ศรัทธาและไม่ได้เห็นด้วยกับแนวทางการบริหารของกรรมการบริหารชุดใหม่ที่กำลังจะดำเนินไป จึงไม่เร่งผลีผลามตัดสินใจ และจะอดทน ไม่ย่อท้อต่อการทำงานทางการเมือง ดังนั้น จึงไม่เร่งสรุป หรือตัดสินใจใด ๆ และยังตั้งมั่นทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน โดยไม่จำเป็นต้องไปข้องเกี่ยวกับการทำกิจกรรมของพรรค
น.ส.วทันยา กล่าวยอมรับว่า หากคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ชุดใหม่ นำพาพรรคไปร่วมรัฐบาลก็จะเป็นจุดทบทวนสำคัญของสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่เฉพาะตนเองเท่านั้น จะเป็นจุดทบทวนของสมาชิกพรรคทุกคน รวมถึงประชาชนผู้ให้การสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอด เพราะเชื่อว่าประชาชนเชื่อมั่นการทำงานของพรรคประชาธิปัตย์ที่ยึดมั่นใจอุดมการณ์ และจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจน ไม่ได้แสวงหาประโยชน์และอำนาจ
ด้าน นายชินภัสร์ กิจเลิศสิริวัฒนา รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และอดีตผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ เขต 1 โพสต์เฟซบุ๊ก ประกาศขอลาออกจากพรรครวมไทยสร้างชาติ และขอยุติบทบาทรองโฆษกพรรค ตั้งแต่วันนี้ โดยให้เหตุผลว่า ตลอดระยะเวลากว่า 10 เดือน ที่ได้ร่วมทำงานกับพรรค ทำให้ได้เห็นว่า แนวทางการทำงานของพรรคไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศได้ ตราบใดที่ยังไม่เปลี่ยนระบบภายใน และไม่มีการปฏิรูปตัวเอง ฝ่ายอนุรักษ์จะไม่มีพื้นที่เหลือในอนาคต
วันเดียวกัน ที่รัฐสภา ในการประชุมคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร มีนายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานกมธ.ตำรวจ ทำหน้าที่ประธานการประชุม มีการพิจารณาเรื่อง ร้องเรียนของ นายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ขอให้ตรวจสอบการควบคุมนักโทษที่เข้ารับการรักษาพยาบาลและพักรักษาตัวที่รพ.ตำรวจ โดยมี นายนัสที ทองประหลาด ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษ และพล.ต.ต.สามารถ ม่วงศิริ นพ.(สบ.7) รพ.ตำรวจ ชี้แจงต่อกมธ.ตำรวจ
นายวัชระ กล่าวว่า อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนักโทษชายรักษาอยู่ที่รพ.ตำรวจจริงหรือไม่ ขอให้ส่งรายชื่อผู้คุมที่ไปควบคุมตัวนายทักษิณให้แก่กมธ. และอยากถามว่าระเบียบกรมราชทัณฑ์ที่ออกมาให้จำคุกนอกเรือนจำ ใหญ่กว่าคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และใหญ่กว่าพระบรมราชโองการอภัยโทษหรือไม่ ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้ทางกมธ.เป็นหู เป็นตาให้ประชาชน โดยเดินทางไปที่ชั้น14 ห้องพิเศษ รพ.ตำรวจ ไปพิสูจน์ทราบว่ามีนายทักษิณ แพทย์ ผู้คุม และตำรวจ อยู่ที่นั่นหรือไม่ หากกมธ.ตำรวจไปดำเนินการอาจถูกกล่าวหาว่าผิดกฎหมายอาญา ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา157 ทั้งนี้ ภายในสัปดาห์นี้ ตนและนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตสส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ จะไปยื่นหนังสือถึงประธานศาลฎีกา เพื่อสอบถามระเบียบของกรมราชทัณฑ์ล่าสุดว่าส่อช่วยนายทักษิณไม่ต้องจำคุกในเรือนจำหรือไม่ และอยากถามว่าหากนายทักษิณได้รับการยกเว้น แล้วนักการเมืองรวมถึงบุคคลธรรมดาหากต้องจำคุกจะได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับนายทักษิณหรือไม่
จากนั้น นายณัฐพงษ์ สุมโนธรรม ส.ส.สมุทรสาคร พรรคก้าวไกล สอบถามถึงขั้นตอนการรับนักโทษ มีการส่งนักโทษไปรักษาตัวกี่โรงพยาบาล และมีการคาดการหรือไม่ว่านายทักษิณจะรักษาตัวในรพ.อีกกี่วัน ระเบียบใหม่ของกรมราชทัณฑ์ที่ออกมาตั้งแต่ปี63 กระบวนติดขัดตรงจุดใดถึงเพิ่งประกาศใช้ในช่วงนี้ ที่สำคัญ ในวันที่ 20 ธ.ค.นี้ นายทักษิณจะเข้าเกณฑ์พักโทษเลยหรือไม่
ด้าน นายชัยชนะ กล่าวว่า อยากทราบขั้นตอนการรับโทษเป็นอย่างไร เหตุใดนายทักษิณถึงไม่ได้ตัดผม แม้แต่ ในช่วงโควิด-19 ต้องกักตัว 10 วัน ภายในเรือนจำ แต่นายทักษิณไม่มีการกักตัว แต่กลับส่งตัวไปยังโรงพยาบาลเลย และอยากทราบว่าเหตุใดถึงส่งตัวไปที่รพ.ตำรวจ นายทักษิณทำดีก็เยอะ มีข้อครหาก็เยอะ แต่จะเป็นนักโทษเทวดาคนเดียวไม่ได้ เพราะถ้านายวัชระต้องเข้าคุกบ้างจะโดนปฏิบัติแบบนี้หรือไม่ ซึ่งเชื่อว่าไม่ได้รับการปฏิบัติแบนนี้แน่นอน เพราะไม่ใช่ ชินวัตร
ต่อมาที่ประชุมได้ขอให้สื่อมวลชนออกจากห้องประชุม เพื่อให้ผู้ชี้แจงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ข้อมูลต่อกมธ.อย่างเต็มที่