เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.66 เวลา 09.30 น.ที่รัฐสภา น.ส.วทันยา บุนนาค สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมคณะ ยื่นร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม และ ร่างกฎหมายอากาศสะอาด ให้กับ นายสรรเพชญ บุญญามณี ส.ส.สงขลา และนายร่มธรรม ขำนุรักษ์ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อนำยื่นต่อสภาผู้แทนราษฎรให้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาและประกาศบังคับใช้ต่อไป และเชื่อมั่นว่ากฎหมายทั้ง2 ฉบับจะสามารถผ่านการพิจารณาและประกาศใช้ได้ภายในรัฐบาลชุดนี้ เพราะเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทางรัฐบาลได้ให้ความสำคัญเช่นกัน 

โดย น.ส.วทันยา กล่าวว่า เมื่อครั้งที่ตนได้ทำหน้าที่ ส.ส.ในสมัยที่ผ่านมา แม้ว่าตนจะเป็น ส.ส.ในฝั่งของรัฐบาล แต่เมื่อมีกฎหมายสมรสเท่าเทียมและคู่ชีวิต ตนก็ได้ลงมติให้ความเห็นชอบกับกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ เพื่อแสดงจุดยืนในความคิดเกี่ยวกับการรักษาสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียม แต่เป็นสิ่งที่น่าเสียดายที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมไปไม่ถึงฝัน และวันนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีอีกครั้งที่ตนและคณะจัดทำกฎหมายได้นำร่างกฎหมายมายื่นต่อ ส.ส.ในนามส่วนตัวเพื่อนำเข้าสู่วาระการประชุมของสภาต่อไป 

“วันนี้ได้ทำตามสัญญา สิ่งใดที่เป็นประโยชน์กับประชาชนทางตรง เดียร์พร้อมที่จะทำงานต่อไป ตนจะไม่ย่อท้อและจะเดินหน้าต่อไป แต่กิจกรรมทั้งหมดที่ขับเคลื่อนภายใต้ผู้บริหารของพรรคประชาธิปัตย์ เดียร์ของดเว้นและยุติบทบาทในการทำงานกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่ยังคงสถานะสมาชิกพรรคเพื่อทำงานเพื่อประชาชน“ น.ส.วทันยา กล่าว 

ขณะที่ นายสรรเพชญ กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญของผูัที่มีความหลากหลายทางเพศ ถือว่าวันนี้พวกเราให้ความสำคัญกับความเสมอภาค สิทธิ เสรีภาพ เพราะพวกเราเชื่อมาตลอดว่าไม่ว่าจะเป็นใคร รักชอบแบบใด ก็ควรจะได้รับสิทธิเสรีภาพคุ้มครองตามกฎหมาย

ส่วนร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดนั้นน.ส.วทันยา กล่าว ว่า เป็นหนึ่งในนโยบายที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ประกาศเป็นหนึ่งในนโยบายของกรุงเทพฯ ในการรณรงค์หาเสียงในครั้งที่ผ่านมา ปี2566 และวันนี้ตนพร้อมกับคณะได้จัดทำร่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว พร้อมที่จะให้ ส.ส.ได้นำยื่นต่อสภาฯ

ด้าน นายร่มธรรม กล่าวว่า ปัญหามลพิษอากาศถือเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศและโลก ซึ่งปัจจุบันในหลายพื้นที่กำลังประสบปัญหาเรื่องฝุ่น PM2.5 และในแต่ละปีประเทศไทยมีประชาชนเสียชีวิตเพราะมลพิษทางอากาศจำนวนมาก แต่เป็นที่น่าเศร้าที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาประเทศไทยยังขาดมาตรการในการแก้ไขอย่างจริงจังและเป็นระบบ แม้ว่ารัฐบาลจะประกาศในการแถลงนโยบายว่าจะผลักดันให้การแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5ให้เป็นวาระแห่งชาติ แต่ก็ยังไม่เห็นการแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรม และปัญหานี้ก็ยังสะสมและทวีคูณมากยิ่ง