ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI เปิดเผยว่า ผลประกอบการช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 (ม.ค.-ก.ย.) มีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 21,982 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 12.5% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) มีกำไรสุทธิ 2,546 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 217.3% YOY ซึ่งถือเป็นผลกำไรที่สูงที่สุดแล้วถ้าเทียบช่วง 9 เดือนแรกในรอบ 76 ปีของการดำเนินธุรกิจ และคาดว่าปิดสิ้นปีนี้ จะบรรลุเป้าที่ตั้งเบี้ยรับรวมไว้ที่ 30,000 ล้านบาท เติบโต 12.5% โดยได้รับอานิสงส์จากจุดเปราะบางเหตุการณ์ระบาดโควิด ทำให้บริษัทประกันภัยล้มหายไป และทำให้งานได้ถูกโยกย้ายไหลมาอยู่กับบริษัทที่มั่นคง ซึ่งบริษัทกรุงเทพประกันภัยเป็นหนึ่งในนั้น ทำให้เบี้ยประกันของบริษัทเติบโตขึ้นจากจุดนี้
ดร.อภิสิทธิ์ กล่าวถึงปี 2567 ว่า บริษัทยังคงงมั่นจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าเบี้ยรับรวมจะเติบโตขึ้น 8% จากปีนี้มี 30,000 ล้านบาท เท่ากับ 32,400 ล้านบาท หรืออาจเ)นไปได้ 32,500 ล้านบาท โดยเราจะสร้างดุลยภาพระหว่างการเติบโตของเบี้ยรับรวมและการสร้างความมั่นคงเข้มแข็งของผลกำไร โดยพอร์ตงานหลักจะมาจาก ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งเป็นเทรนด์อนาคต หากดูจากปีนี้มียอดรถอีวีจดทะเบียน 100,000 คัน เติบโตขึ้น 10 เท่าจากปีที่แล้ว จากปีที่แล้วจดทะเบียนแค่ 10,000 คัน) เชื่อว่าปีหน้าคงจะมีการเติบโตต่อเนื่อง เพราะโรงงานบีวายดีสำเร็จแล้ว และฉางอานก็เข้ามาบุกตลาด โดยใช้โรงงานนิคมอุตสาหกรรมของ WHA ซึ่งน่าจะมีรถอีวีออกสู่ตลาดมากขึ้น
แต่สิ่งที่น่าห่วงก็คือ หลายบริษัทประกันภัยมองเป็นเทรนด์ที่จะเข้ามาแข่งขันแย่งชิงเค้กก้อนนี้ ซึ่งการแย่งชิงเค้กนี้ต้องใช้กลไกทางราคามาช่วย แต่จากข้อมูลตลาดโลกพบว่าเบี้ยประกันรถอีวีในตลาดญี่ปุ่นมีอัตราสูงกว่าเบี้ยประกันรถสันดาป 10-20% และในตลาดอเมริกาสูงถึง 25% แต่ในประเทศไทยขณะนี้เบี้ยประกันรถอีวีที่ขายกันในตลาดจะต่ำกว่าเบี้ยรถสันดาปไปแล้ว ซึ่งจุดนี้อันตรายมาก
โดยปัจจุบันอัตราความเสียหาย หรือลอสเรโชของรถอีวี ซึ่งตอนแรกๆทุกบริษัทมองว่าอยู่ได้ เพราะ อยู่แค่ 10-15% แต่ผ่านไป 2 ปี กระโดดขึ้นมาเป็น 40-50% จนมาปีนี้ลอสเรโชเฉลี่ยของตลาดขึ้นไปเกือบ 60%ไปแล้ว ซึ่งถ้ามีการตัดแข่งราคาค่าเบี้ยประกันมากจนทำให้เบี้ยราคาต่ำ หนำซ้ำต้องจ่ายคอมมิชชันให้ตัวแทนนายหน้าตามมกม.กำหนดอีก 18% ลอสเรโชก็อาจจะพ่งไปถึงระดับ 75-80% ซึ่งอยู่รอดยาก เพราะไม่มีกำไร เพราะต้องยอมรับว่า หากเป็นรถสันดาปเวลาเกิดเหตุ Total Loss หรือเสียหายทั้งคัน บริษัทประกันจะใช้วิธีขายคืนซากให้ผู้เอาประกัน จากนั้นก็ยังนำเอาชิ้นส่วนที่คืนซากไปขายซากต่อได้เงินไม่น้อยทีเดียว แต่หากเป็นรถอีวี หากขายคืนซาก บริษัทแทบจะไม่ได้เงินจากขายคืนซากรถแต่อย่างใด
โดยดร.อภิสิทธิ์ ยังได้เผยถึงการประกันภัยเครื่องบิน หรือ Aviation Insurance สำหรับสายการบินต่างๆว่า มีแนวโน้มเบี้ยประกันอาจจะถูกปรับสูงขึ้น หลังจากเกิดเหตุการณ์สงครามอิสราเอล กับกลุ่มฮามาส ทำให้เบี้ยประกันมีแนวโน้มจะถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นของการขึ้นค่าเบี้ยประกัน เนื่องจากถูกมองว่า มีความเสี่ยงสูง