เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 12 ธ.ค. 2566 ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.การคลัง แถลงข่าวจัดการหนี้ทั้งระบบ โดยมีนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รมช.คลัง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ และนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีร่วมแถลง

 

โดยนายกฯ กล่าวว่า ปัญหาหนี้สินเป็นปัญหาเรื้อรังที่อยู่กับสังคมไทยมายาวนาน ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดให้การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเป็นวาระแห่งชาติ ตามที่ได้แถลงนโยบายเมื่อวันที่ 28 พ.ย. และอีกครั้งเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. สำหรับหนี้ในระบบที่มีปัญหาจนส่งผลกระทบต่อการทำงาน บางรายเป็นหนี้เสียคงค้างเป็นเวลานาน จนขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ถือเป็นวาระแห่งชาติเช่นเดียวกัน ซึ่งรัฐบาลนี้จะให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหนี้ ทั้งระบบให้ได้รับสินเชื่ออย่างเหมาะสมและเป็นธรรม 

 

นายกฯ กล่าวว่า  ตนต้องขอชี้แจงและไม่ได้กล่าวว่าการเป็นหนี้เป็นสิ่งที่ชั่วร้าย โลกนี้มีหนี้ที่ดีอยู่ คือหนี้ที่นำไปจับจ่ายใช้สอยหรือประกอบธุรกิจ โดยไม่เกินความสามารถ เป็นหนี้ที่จะก่อให้เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจ เพิ่มจำนวนเงินในระบบทั้งประเทศ แต่ต้องเข้าใจว่าสภาพเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา อาจทำให้กลไกเหล่านี้มีข้อติดขัดหลายอย่าง จนปัญหาสั่งสมจนใหญ่เกินกว่าจะแก้ได้โดยปราศจากภาครัฐ วันนี้พวกเราไม่สามารถจะปล่อยให้ลูกหนี้เผชิญปัญหาอยู่อย่างลำพัง ถึงเวลาแล้วที่ภาครัฐ จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือให้กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของกลไกทางเศรษฐกิจที่แข็งแรง

 

นายกฯ กล่าวว่า ภาพรวมกลุ่มลูกหนี้ในระบบที่ประสบปัญหา แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ 1.ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 กลุ่มที่ 2.กลุ่มที่มีรายได้ประจำ แต่มีภาระหนี้จำนวนมาก จนเกินศักยภาพในการชำระคืนหนี้ กลุ่มที่ 3 กลุ่มที่มีรายได้ไม่แน่นอน  ทำให้การชำระคืนหนี้ไม่ต่อเนื่อง และกลุ่มที่ 4 คือ กลุ่มที่เป็นหนี้เสียคงค้างเป็นระยะเวลานาน ซึ่งทั้งหมดเป็นลูกหนี้ไม่สามารถผ่อนชำระหนี้ได้จนกลายเป็นหนี้เสีย เมื่อเป็นหนี้เสียก็ถูกเรียกเก็บดอกเบี้ยปรับเพิ่ม วงจรแบบนี้ส่งผลให้ติดเครดิตบูโรไม่สามารถขอสินเชื่อในระบบต่อได้ หรือบางรายที่ค้างชำระเป็นเวลานานจะถูกดำเนินการตามกฎหมาย ดังนั้นรัฐบาลจึงเตรียมแนวทางช่วยเหลือเพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะของลูกหนี้แต่ละกลุ่มดังนี้

 

สำหรับลูกหนี้ในกลุ่มที่ 1 คือ  ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยปกติจะมีประวัติการชำระหนี้มาโดยตลอด แต่สถานการณ์โควิดทำให้ธุรกิจต้องสะดุดหยุดลง  ขาดสภาพคล่อง จนไม่สามารถชำระคืนหนี้ได้ อีกส่วนนึง บางรายเป็นหนี้ครั้งแรกในช่วงโควิด เพราะต้องการเงินทุนไปหมุนเวียน แต่สุดท้ายกลายเป็นหนี้เสียจนไม่สามารถประกอบธุรกิจต่อได้ กลุ่มนี้จะต้องได้รับการช่วยเหลือให้หลุดพ้นจากการเป็นหนี้เสีย  หรือได้รับการพักชำระหนี้เพื่อผ่อนปรนภาระเป็นการชั่วคราว สำหรับลูกหนี้รายย่อย  ซึ่งส่วนใหญ่มีหนี้เสียกับธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส.  รัฐบาลจึงกำหนดให้ธนาคารทั้งสองแห่งติดตามทวงถามหนี้ตามสมควร  และให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้กลุ่มนี้  เพื่อให้ไม่เป็นหนี้เสียอีกต่อไป โดยคาดว่าจะช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยในกลุ่มนี้ ได้ประมาณ 1.1 ล้านราย ส่วนลูกหนี้ SMEs  สถาบันการเงินของรัฐจะเข้าไปช่วยเหลือผ่านการปรับปรุงโครงสร้างหนี้  และพักชำระหนี้ให้กับลูกหนี้ SMEs ที่อยู่กับแบงค์รัฐ  ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล  เป็นระยะเวลา 1 ปี  โดยคาดว่าจะช่วยเหลือลูกหนี้ SMEs เหล่านี้  ได้ครอบคลุมมากกว่าร้อยละ 99  ของจำนวนลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสียในกลุ่มนี้ นับเป็นจำนวนกว่า 100,000 ราย

 

สำหรับกลุ่มที่ 2 คือ ลูกหนี้ที่มีรายได้ประจำ แต่มีภาระหนี้จำนวนมากจนเกินศักยภาพ  โดยอาจจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่มย่อยได้แก่ กลุ่มข้าราชการ ครู ตำรวจ ทหาร ที่มักจะมีหนี้กับสถาบันการเงิน และกลุ่มที่เป็นหนี้บัตรเครดิต กลุ่ม ข้าราชการ ครูและบุคลากรทางการศึกษา  ตำรวจ ทหาร จะได้รับการช่วยเหลือผ่าน 3 แนวทางด้วยกัน แนวทางแรก คือการลดดอกเบี้ยสินเชื่อไม่ให้สูงจนเกินไป เพราะเป็นกลุ่มที่มีรายได้ประจำและถือว่ามีความเสี่ยงต่ำ แนวทางที่สอง จะต้องโอนหนี้ทั้งหมดไปไว้ในที่เดียว  เช่น ที่สหกรณ์ เพื่อให้การตัดเงินเดือนนำมาชำระหนี้ทำได้สะดวก  และสอดคล้องกับรายได้ของลูกหนี้ และแนวทางสุดท้าย คือบังคับใช้หลักเกณฑ์การตัดเงินเดือน ให้ลูกหนี้มีเงินเดือนเหลือเพียงพอต่อการดำรงชีพอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งทั้งสามแนวทางนี้ จะต้องทำ “พร้อมกัน” ทั้งหมด

 

สำหรับลูกหนี้กลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มที่มีรายได้ไม่แน่นอน  ทำให้การชำระคืนหนี้ไม่ต่อเนื่อง  เช่น เกษตรกร ลูกหนี้เช่าซื้อ  และลูกหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) กลุ่มนี้จะได้รับการช่วยเหลือ  โดยการพักชำระหนี้เป็นการชั่วคราว  การลดดอกเบี้ย  หรือลดเงินผ่อนชำระในแต่ละงวดให้ต่ำลง เพื่อให้สอดคล้องกับรายได้ของลูกหนี้ เช่น ลูกหนี้เกษตรกร ซึ่งมีรายได้ไม่แน่นอน เนื่องจากรายได้ของพวกเค้า ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและปริมาณผลผลิต เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้กลุ่มนี้ รัฐบาลได้มีโครงการพักชำระหนี้ให้แก่เกษตรกรแล้ว โดยพักทั้งหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลา 3 ปี  ซึ่งโครงการนี้มีเกษตรกรเข้าร่วมการพักหนี้กว่า 1.5 ล้านราย เป็นต้น

 

สำหรับลูกหนี้กลุ่มที่ 4 กลุ่มนี้เป็นหนี้เสียคงค้างกับสถาบันการเงินของรัฐ มาเป็นระยะเวลานาน กลุ่มนี้จะโอนไปยังบริษัทบริหารสินทรัพย์  ที่เกิดจากการร่วมทุนระหว่างสถาบันการเงินของรัฐ และบริษัทบริหารสินทรัพย์ ซึ่งจะทำให้การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้เป็นไปอย่างคล่องตัวมากขึ้น คาดว่ามาตรการนี้จะสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ในกลุ่มนี้ได้ประมาณ 3 ล้านราย 

 

นายกฯ กล่าวว่า ครั้งนี้รัฐบาลได้กำหนดแนวทางช่วยเหลือลูกหนี้หลากหลายกลุ่มด้วย ทั้งมาตรการที่ ครม.เห็นชอบไปแล้ว เช่น การพักหนี้เกษตร มาตรการที่สามารถดำเนินการขยายผลได้ทันที เช่น เรื่องหนี้ครู หนี้ข้าราชการ หนี้บัตรเครดิต หนี้เช่าซื้อรถยนต์หรือมอเตอร์ไซต์ โดยเมื่อวันที่ 1 ธ.ค. กระทรวงมหาดไทยได้เริ่มเปิดรับลงทะเบียนหนี้นอกระบบ ซึ่งตนหวังว่าจะมีการติดตามเจ้าหนี้และลูกหนี้ให้เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยต่อไป อย่าให้หายเงียบตามแนวทางที่ได้มอบไว้ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตในระยะเร่งด่วนเพื่อต่อลมหายใจให้ลูกหนี้ทุกกลุ่ม 

 

นายกฯ กล่าวว่า ส่วนระยะยาวควรมีการแก้ปัญหาในระดับโครงสร้าง โดยยกระดับการให้บริการสินเชื่อให้เหมาะสมและเป็นธรรม ซึ่งกระทรวงการคลังได้ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ จัดทำแนวทางเพื่อยกระดับการให้สินเชื่อและการค้ำประกันสินเชื่อสะท้อนความเสี่ยงของลูกหนี้ได้มากขึ้นเป็นธรรม มีมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคที่เหมาะสม และป้องกันปัญหาการก่อหนี้เกินศักยภาพ เช่นหลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรมที่ธนาคารแห่งประเทศไทย กำหนดให้สถาบันการเงิน ต้องคำนวณอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงของลูกหนี้ และกำหนดให้การผ่อนชำระสินเชื่อ ต้องให้ผู้กู้ยืมมีเงินเหลือเพียงพอต่อการดำรงชีพ

 

นายกฯ กล่าวว่า การให้สินเชื่อโดยพิจารณาจาก ข้อมูลอื่นนอกเหนือจากประวัติการชำระสินเชื่อ เช่น การชำระค่าน้ำหรือค่าไฟ ซึ่งจะช่วยให้ประชาชน เข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ง่ายขึ้น การผลักดันให้สหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน รายงานข้อมูลเครดิตไปยัง NCB เพื่อให้ผู้ให้สินเชื่อสามารถประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้และการจัดการบุริมสิทธิในการตัดเงินเดือนของลูกหนี้ที่เป็นธรรมเพื่อชำระหนี้กับผู้ให้สินเชื่อได้อย่างเหมาะสม สำหรับกลุ่มลูกหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลที่มีปัญหาหนี้เรื้อรัง ธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดให้เจ้าหนี้ต้องช่วยปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ รวมกันต้องไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปีและปิดจบหนี้ให้ได้ภายใน 5 ปี

 

นายกฯ กล่าวว่า เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ให้สำเร็จและมีผลอย่างยั่งยืน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนได้ร่วมกันเสริมความรู้และพัฒนาทักษะการบริหารจัดการเงินให้แก่ประชาชนหรือจัดให้มีระบบการเงินชุมชนเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยต่อไป ส่วนนักศึกษาที่กู้ กยศ.ต้องผ่านการอบรมการบริหารจัดการหนี้ บุคลากรภาครัฐบรรจุใหม่ต้องผ่านการอบรมการเงินส่วนบุคคล รวมทั้งเพิ่มตัวช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ประชาชน เช่น สร้างคนให้คำแนะนำการแก้หนี้ หรือคนไกล่เกลี่ยหนี้ เพื่อช่วยให้คำแนะนำที่ถูกต้องแก่ลูกหนี้ที่ต้องการความช่วยเหลือ

 

นายกฯ กล่าวว่า นอกจากนี้ ภาครัฐยังส่งเสริมวินัยการออม เช่น บริการออมเพลิน ซึ่งเป็นโครงการนำร่องให้ประชาชนสามารถสะสมเงินออมแบบอัตโนมัติในทุกครั้งที่ใช้จ่ายชำระค่าสินค้า เพื่อลด

การเป็นหนี้ และส่งเสริมให้ประชาชนมีเงินออมที่เพียงพอหลังเกษียณอายุ

 

นายกฯ กล่าวว่า ท้ายที่สุดเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ให้สำเร็จและมีผลอย่างยั่งยืนหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ได้ร่วมกันเสริมความรู้ ยืนยันรัฐบาลห่วงใยลูกหนี้ทุกกลุ่มและได้มีแนวทางช่วยเหลือลูกหนี้  ทั้งมาตรการระยะสั้นและระยะยาว การดำเนินมาตรการให้สำเร็จได้ จะต้องอาศัยความร่วมมือจากลูกหนี้ เจ้าหนี้ และหน่วยงานต่าง ๆ หลายภาคส่วน ตนขอมอบนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน  ให้มาร่วมกันแก้หนี้ทั้งระบบให้จบภายในรัฐบาลนี้ ร่วมกันสำรวจและซ่อมแซมกลไกทางเศรษฐกิจ เพื่อทำให้เครื่องจักรทางเศรษฐกิจเราทำงาน เติบโต และขยายตัวต่อไปได้