ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต

"ผมรักและชื่นชม"The Beatles" มาร่วม 60 ปี..มันคือปรากฏการณ์แห่งใจที่ไม่เคยลบลืม..ความหมายแห่งสาระเนื้อหาของบทเพลง/ ท่วงทำนองอันติดตรึงและเต้นเร่า..รวมทั้งส่วนที่ผสานนัยรู้สึกแห่งหัวใจนั้น..ยังคงก้องดัง และ ไม่เคยตายไปจากชีวิตแห่งหัวใจของผม

มันอาจเป็นเหมือนมายาคติที่ซ้อนหลืบอยู่กับมายาจริต..ติดแน่นและยิ่งนาน...ดั่งดาวประดับฟ้าในทุกๆค่ำคืน..ผ่านไปเนิ่นนานแต่ก็ยังคงอยู่..เป็นวิถีธรรมที่เจิดกระจ่างในความทรงจำอันหยั่งลึกเหนือกาลเวลาใดๆ.."

The Beatles Way:Fab Wisdom for Everyday Life(ชีวิตไม่ได้มีให้เดินตามใคร) คือหนังสือที่เปรียบดั่งบทบันทึกแห่งชีวิต..ของนักร้องนักดนตรี จาก "ลิเวอร์พูล" ที่ดังก้องโลกแม้ในปัจจุบัน..หรือจะเป็น ณ เมื่อใดก็ตาม..พวกเขาเป็นประหนึ่งจิตใจบริสุทธิ์...เป็นดั่งความเป็น"อมตะ"..ที่มิมีข้อกำหนดอันตายตัวตัวอื่นใดในนั้น...

"บางคนบอกว่า..เดอะบีเทิลส์ เป็นเรื่องของดนตรี แต่นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่ง พวกเขายังเป็นตัวแทนของความหวัง การมองโลกในแง่ดี การมีไหวพริบ ปัญญาและการไม่เสแสร้ง..ซึ่ง"ใครก็ทำได้"...ถ้ามีใจอยากทำจริงๆ"

นี่คือคำกล่าวที่จริงจังและจริงใจ..แม่นตรงต่อความหมายของชีวิตโดย “Derek Taylor"/อดีตตัวแทนฝ่ายสื่อของเดอะบีเทิลส์..

วงดนตรี..วิธีแห่งการเป็นต้นแบบและผู้นำกระแส.."จอห์น/พอล/จอร์จ/และ ริงโก/คือกลุ่มผู้สร้างตำนาน ในการใช้ชีวิต ที่อบอวลไปด้วยความสำเร็จ ความเป็นขบถ ความแตกต่าง ความสง่างาม ความสร้างสรรค์ ความเป็นธรรมชาติ ความเป็นตัวของตัวเอง แรงบันดาลใจ ความลุ่มลึก อุดมคติ การเป็นผู้ริเริ่ม ตลอดจนอิทธิพลทางวัฒนธรรม..

ถึงวันนี้..โลกต้องตระหนักว่า..พวกเขาคือสุดยอดวงดนตรีที่ไม่มีใครเทียบเคียง..บทเรียนสำคัญที่สุดที่พวกเขาได้รังสรรค์ขึ้น..ก็คือ..ทัศนคติ วิธีคิด และวิถีการใช้ชีวิต..

กระทั่งทำให้พวกเขาทั้งสี่..ได้กลายเป็นผู้นำกระแส ในทุกประเด็นเรื่องราวที่พวกเขาได้กระทำ..ไม่ว่าจะเป็น..วัฒนธรรม สังคม ธุรกิจ  .หรือ แม้แต่การพัฒนาในทางจิตวิญญาณ..จนผู้คนทั่วโลกต่างเรียกมันว่า"วิถีเดอะบีเทิลส์"(The Beatles Way)

หนังสือเล่มนี้ได้พูดถึง 7 หลักการสำคัญ ที่สร้างให้ความเป็นชีวิตโดยรวมของเดอะบีเทิลส์ประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่..มันเริ่มต้นด้วย"ฝัน.."..,

ว่ากันว่า..การจะประสบความสำเร็จได้ แม้เพียงเสี้ยวเดียวของเดอะบีเทิลส์นั้น..สิ่งแรกและสำคัญที่สุด..ช่างแสนจะธรรมดาจนดูเหมือนไม่น่าเชื่อก็คือ “จงฝัน"

สำหรับ"จอห์น เลนนอน"และเพื่อนของเขา "พอล แม็กคาร์ทนีย์" ...ทั้งสองถือว่า..ความฝันอันยิ่งใหญ่เป็นหนทางเดียวที่จะพาพวกเขาออกจากลิเวอร์พูล เมืองบ้านเกิด ที่มักจะเฉอะแฉะไปด้วยฝน .พอลเล่าว่า"ถ้ามีคนถามผมตอนอายุ15ปี..ว่าทำไมผมถึงแต่งเพลงผมคงจะตอบว่าเพราะ"เงิน"

 แต่ไม่นานหลังจากนั้น...คุณก็จใะตระหนักว่า นั่นไม่ใช่แรงขับที่แท้จริง..เพราะเมื่อคุณมีเงินแล้ว .คุณก็อยากเดินหน้าต่อไป..มันต้องมีสิ่งอื่นอีก.ผมคิดว่า ..สิ่งนั้นคือ..อิสระที่จะทำความฝันของคุณให้มีชีวิตขึ้นมา

"จอห์น เลนนอน"เคยพูดถึงอิทธิพลของ"เอลวิส เพรสลีย์"ที่ทำให้ “บีเทิลส์” อยากประสบความสำเร็จตามนั้น...มันเป็นสิ่งที่กระตุ้น ให้พวกเขาทำฝันให้เป็นจริง..มีคนเคยถามจอห์นว่า..ตอนเด็กๆเขาอยากเป็นอะไร?..

เขาตอบไปอย่างทันควันว่า.."อยากยิ่งใหญ่กว่าเอลวิส"..มันอาจจะฟังดูเพ้อเจ้อ..ไปหน่อย แต่สำหรับ"เด็กหนุ่มหัวโจก"..ผู้มีชื่อเสียงในการโดดเรียนและหาเรื่องชกต่อยเป็นประจำ../

"เราออกไปดูหนังเอลวิสกัน ตอนเราอยู่ลิเวอร์พูล ใครๆก็ไปรอชมเขาในหนังรวมทั้งพวกเราด้วย..ทุกคนกรีดร้องเมื่อ"เอลวิส"โผล่เข้ามาในจอ.."

"จอร์จ แฮริสัน"..ก็มีความทรงจำคล้ายคลึงกับ"จอห์น"

"นั่นดูจะเป็นงานที่เข้าท่านะ..ทั้งได้เงินทั้งได้เที่ยว..สาวไปเพียบ..เสื้อผ้าสุดเนี้ยบ..เล่นเพลงร็อกแอนด์โรล..นี่มันสุดเจ๋งเลย.."

อาจเหมือนว่า..ความฝันของจอร์จนั้น..ไม่ได้เลิศหรูอะไร..นัก/เป็นแค่ความฝันของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง..เเต่เมื่อเขาเติบโตขึ้น...ความฝันของเขาก็ได้เติบใหญ่ขึ้นจริงๆ และ..หลุดพ้นจากเรื่อง..วัตถุนิยมไปมาก..เหตุนี้ การเลือกความฝัน จึงเหมือนเป็นการเลือกอนาคต.."มันคือจิตใจ..มันปราศจาก..ห้วงเวลาในนั้น"

วาระต่อไปของความสำเร็จ..ในแบบ “บีเทิลส์ นับเป็นเรื่องสำคัญที่สุด..มันคือการตั้งเป้าหมาย..แม้ว่าใครๆก็ทราบว่านี่คือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ ได้รับในสิ่งที่ต้องการ แต่ก็มีอยู่บ่อยครั้งที่มันมักจะถูกละเลย ภายใต้ความวุ่นวายของภาระรับผิดชอบประจำวันของคนเรา..

สำหรับ"บีเทิลส์" แค่เรื่องการกำหนดเป้าหมายนี้เพียงอย่างเดียว ก็สามารถทำให้วงมีพลังกระตุ้นอันตื่นเต้น .ไปตลอดชั่วอายุขัยของวง พวกเขามุ่งมั่นที่จะยืนหยัดต่อเป้าหมายและไปให้ถึงทุกครั้ง/บีเทิลส์ทั้งสี่ มีความชัดเจนในเป้าหมายต่างๆที่มีความสำคัญที่สุดต่อพวกเขา..โดยเป้าหมายแรกสุดถือเป็นอะไรที่ชัดแจ้ง..นั่นคือ " ่เงิน"

ดังที่ "ริงโก สตาร์" มือกลองของวงได้เคยกล่าวเอาไว้ว่า "ทุกครั้งที่คุณสะกดคำว่าBeatleโดยมีตัวaอยู่ในนั้น แทนที่จะสะกดว่าBeetle...เราจะได้เงิน"

พลังขับดันในการแสวงหาเงินตราอาจเริ่มมาจากการหาทางไปให้พ้นจากเมืองลิเวอร์พูลอันแสนเงียบเหงา ซึ่งเป็นบ้านเกิดของพวกเขา...แน่นอนว่า...พวกเขามีความฝันอันแจ่มชัด ที่จะเป็นเอลวิสคนต่อไปของโลก แต่ความปรารถนาเฉพาะหน้าของพวกเขา..ก็คือการมีเงินมากพอที่จะซื้ออิสรภาพในการเลือกที่อยู๋ที่ต้องการได้..และไปในที่ทางที่ห่างไกลที่สุดจากลิเวอร์พูลอันแสนน่าเบื่อ..

การที่คนเราจะมีชื่อเสียงๆขึ้นมาได้นั้น จักต้องมีทัศนคติที่เข้าท่า..นี่เป็นอีกหลักการหนึ่งที่"TheBeatles"ยึดถือปฏิบัติ..จักต้องมีแนวคิดในการทำอะไรให้สุดๆไปเลย.."จอห์น เลนนอน"ได้เคยตอบคำถามเมื่อปีค.ศ.1971..ว่าทำไมพวกเขาถึงประสบความสำเร็จอย่างสูง "ก็เพราะ..ผมลงมือทำแม่ง..มันน่ะสิ.."ดูเขาโพล่งออกมาอย่างรุนแรง..

"คุณเคยได้ยินชื่อของ"ดิแลน โธมัส กวีชาวเวลส์ หรือ เบรนดัน บีแฮน นักเขียนชาวไอริช หรือคนอื่นๆที่ไม่เคยเขียนอะไรแบบเต็มฝีมือ แต่เอ าเวลาไปดื่มเหล้าเสียหมด..ผมน่ะไม่ได้รู้เรื่องอะไรพวกนี้เลย ก็มีแค่แวนโก๊ะเท่านั้น ที่เป็นศิลปินที่หลุดโลกที่สุดที่ผมรู้จัก..แม้แต่ลอนดอนก็เป็นสิ่งที่เราเคยใฝ่ฝันถึง และลอนดอนก็ไม่มีความหมายอะไร..ผมมาแบบดุ่ยๆเพื่อจะมาครองโลก.."

เวลาเจอความกดดันสาหัส..คุณเลือกตอบสนองได้สองอย่าง..คุณอาจประสาทเสีย..เครียดจัด และ ยอมศิโรราบ..หรือคุณอาจทำอย่างบีทเทิลส์นั่นคือ..ค้นหาความเข็งระดับแชมป์โอลิมปิกในตัวคุณเองให้เจอและตะลุยให้ผ่าน"การทดสอบ"นั้น

ตัวอย่างทัศนคติ ในการค้นหาความแข็งแกร่งในตัวเองของพวกเขา..มีประเด็นหลักอยู่สองประการ..ในการรับมือกับความกดดันแบบสุดๆ..

"จอห์น เลนนอน" ได้ระบุว่า..ประการแรก..เมื่อถูกถามว่า..ทำไมผู้คนถึงประสบความยากลำบากในการตามฝันของตัวเอง "ปัญหาคือพวกเขากลัวในสิ่งที่ไม่รู้จัก" แต่สิ่งนี้แหละ..คือสิ่งที่เราต้องรับมือกับมัน..ถ้ามัวแต่กลัวมันก็จะทำให้เราสิ่งสะเปะสะปะไขว่คว้าแต่สิ่งลวงตา..สิ่งที่เราไม่เข้าใจนั่นเองคือสิ่งที่เราจะเจอ

"จงยอมรับเสียว่า..ทั้งหมดคือสิ่งที่เราไม่รู้จัก แล้วทุกสิ่งจะราบรื่นจนสามารถประจักษ์ว่า ."ทุกสิ่งคือสิ่งที่เราไม่รู้จัก แล้วเราจะประจักษ์ในเกม" ประเด็นสำคัญอีกประเด็นหนึ่ง..ในการสร้างชื่อเสียงขึ้นมา..คือการไม่ใช่สิ่งที่จะทำขึ้นมาคนเดียวโดยลำพัง..ห้วงเวลาสำคัญในอันที่จะก้าวต่อไปในนามของ"เดอะ บีเทิลส์"จึงคือ.."การสร้างและดำรงทีมเอาไว้..มันเป็นสิ่งที่ไปกับเราตลอดทางสู่ฝัน"

พวกเขามีการพัฒนาทีม อย่างมีคุณภาพ..และเชื่อใจได้..มีการหารือกันในการเลือกผู้นำทีม..ตลอดจน การลับคมจิตวิญญาณแห่งการแข่งขัน ที่จะทำให้เกิดประสิทธภาพ.

และ.สิ่งแรกที่ทุกๆทีมต้องการคือ"ผู้นำ".."จอห์น เลนนอน"คือผู้นำโดยปริยาย ตั้งแต่ในยุคที่พวกเขายังด้อยประสบการณ์..จวบจนสิ้นยุค"บีเทิลส์มาเนีย"ในปีค.ศ.1966..ซึ่งก็เป็นเวลาที่"พอล แม็กคาร์ทนีย์"เข้ารับหน้าที่ต่อ..

พอลค่อนข้างยกย่องจอห์นอย่างตรงไปตรงมา..ในปีค.ศ.1991..เขากล่าวว่า."เมื่อมองย้อนกลับไป ..สำหรับจอห์นแล้ว..เขาเป็นขวัญใจผมเสมอ เราทั้งสองก็รู้สึกเช่นนั้น เขาคือไอดอลของเรา../เรามักจะเชื่อฟังจอห์นเสมอ..เขาอาวุโสกว่าเรา และมีความเป็นผู้นำเต็มเปี่ยม..เขามีวาทะที่ปราดเปรื่องและว่องไวที่สุด"

มาถึง..หัวข้อที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในวิถีของ..เดอะ บีเทิลส์..นั่นก็คือ การบงการเกมด้วยตัวจำนำเอง...กล่าวคือ..

พวกเขา สรรค์สร้างและควบคุมแทบจะทุกเรื่องในผลงาน..นับตั้งแต่ภาพลักษณ์ที่ปรากฎ เสื้อผ้า ทรงผม การแสดงบนเวทีไปจนถึงทิศทาง และ คุณภาพของดนตรี รวมทั้งภาพยนตร์ของพวกเขา ตลอดจน ผู้คนที่เกี่ยวข้องในกระบวนการสู่ความสำเร็จ..พวกเขาควบคุมการประพันธุ์เพลงกันด้วยตัวเองไม่ใช่โดยคนนอก นี่คือสิ่งสำคัญที่จะต้องมีการยืนยัน..เพราะทุกวันนี้มีความเข้าใจกันอย่างผิดๆว่า..บีเทิลส์เป็นพวกไร้สมอง ที่ถูกเชิดไปวันๆ โดยผู้จัดการ โปรดิวเซอร์ บริษัทแผ่นเสียงผู้ผลิตภาพยนตร์ หรือแม้กระทั่งภรรยา ตลอดจนเพื่อนของพวกเขา .

"เรานำเสนอภาพรวมของพวกเราทั้งหมดไปพร้อมๆกับแผ่นเสียง "..พอลไอ้อธิบายถึงความเป็นธรรมชาติของพวกเขา..

"เราเป็นวง ร็อกแอนด์โรล รุ่นแรกๆที่ไม่ได้เสแสร้งชวนเด็กๆ..มาดื่มนมกัน..และนั่นทำให้คนอเมริกันช็อคไปเลย..หรือในเรื่องสูบบุหรี่"คุณจะสูบไม่ได้"...เราก็มาของเราอย่างนี้ และ ผมคิดว่า..เราเป็นแค่..พวกเด็กๆทำอะไรตรงๆ..แน่ละ! บางทีมันก็ทำร้ายเรา ทำให้เราเดือดร้อน..เราเป็นคนพูดตรงๆ..เป็นคนตรงและพูดตรงเหมือนที่เราคิด..และนั่นทำให้อเมริกันจำนวนมากช็อก.."

หลังจากได้ผ่าน 5 กฎหลักของการก้าวไปสู่ความสำเร็จและมีชื่อเสียงไปแล้ว.ก็จะมาถึงภาวะแห่งการต้องฝันให้ไกล.ยิ่ง.เราจะฝันได้ไกลแค่ไหน  ..ความสำเร็จก็จะยิ่งใหญ่ไปตามกัน..สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นกับเดอะบีทเทิลส์..สำหรับพวกเขา..มันมีความหมายว่า ."จงสร้างฝันให้ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยไป และ สร้างความเป็นจริงที่ยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าเดิม มันคือ..วิถีของ"พัฒนาการ"

สำหรับ"บีทเทิลส์"..เมื่อใดก็ตาม ที่พวกเขารู้สึกเบื่อ..มันมีความหมายเดียวเท่านั้นคือ..พวกเขาพร้อมแล้วสำหรับการผจญภัยครั้งใหม่..

"พอล"สรุป วิธีการสู่ความสำเร็จของ"บีเทิลส์"ไว้สั้นๆว่า.. "เรามักจะผลักดันไปข้างหน้าเสมอ..ดังกว่า ไกลกว่า นานกว่า มากกว่า แตกต่าง"

พอลพูดเรื่องนี้โดยเน้นที่การทำงานในห้องอัด..แต่แนวคิดนี้ถูกนำไปใช้ในด้านอื่นๆ ในการอยู่กับความฝันของพวกเขาด้วย..มันช่วยให้วงทำอะไรใหม่ๆออกมาได้เรื่อยๆ และค้นพบความตื่นเต้น รวมถึงการหยั่งรู้ภายใน ที่จะทำออกมาให้เป็นจริง..

"ไม่มีข้อสงสัยว่า ความเป็นผู้ริเริ่มและความกล้าได้กล้าเสียทางดนตรี เป็นเครื่องหมายการค้าของ “บีเทิลส์" แต่ก็มีอีกหลายเรื่องที่พวกเขาได้สร้างแนวทางใหม่ไปไว้..แต่คนยังไม่ค่อทราบกัน..ไม่ว่าจะเป็นการทัวร์คอนเสิร์ต  แนวคิดทางธุรกิจ ภาพยนตร์ และ รูปแบบการใช้ชีวิตส่วนตัว.ความมุ่งมั่นที่จะทดลอง ซึ่งบางครั้งก็เป็นอะไรที่อุกอาจเลยทีเดียว..มันทำให้วงดนตรีวงนี้ก้าวเกินคู่แข่งไปหลายก้าวเสมอ..และในหลายๆเรื่องที่ผลงานของพวกเขา  ช่วยจุดประกายให้อุตสาหกรรมใหม่ๆ..เกิดขึ้นมา"

ท้ายสุด..มันคือมิติที่เกี่ยวเนื่องกับ"..จิตวิญญาณ"..จอร์จ แฮริสัน..ได้แสดงความคิดในเรื่องนี้ไว้ว่า..

"ในทางหนึ่งใดทางหนึ่งแล้ว  ทุกชีวิตคือการแสดง..ความรักและเทิดทูนพระเจ้า...ทั้งหมดที่เรากำลังทำก็คือ..พยายามส่งต่อมันไปสู่คนหมู่มาก..พระเจ้าในความคิดของผมก็คือ..คุณไม่ได้กำลังทำอะไรเพื่อตัวคุณเองโดยเฉพาะแต่อย่างใด..แต่เพื่อคนอื่นๆทุกคน"

โดยภาพรวม..เดอะบีเทิลส์แสดงให้เราเห็นอย่างชัดเจน..ถึงวิธีที่จะมีชีวิตอย่างผู้ประสบความสำเร็จ..และมีความสุข..วิธีทีเราจะจัดการความฝันที่โลดโผนและไร้ขีดจำกัด รวมทั้งวิธีที่จะทำทุกอย่างด้วยความมั่นใจจากภายในและด้วยอารมณ์ขันอย่างสบายๆ..แต่มันยังมีอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการที่จะ Fab..ในการที่จะมีชื่ออย่างพวกเขา..ปัจจัยซึ่งถ้าได้เพิ่มเข้าไปแล้ว..จะมีผลกระทบอย่างยิ่งยวดต่อชีวิต..พอลได้พูดเรื่องนี้ไว้อย่างดีที่สุด..เขาพบว่าหลังจากประสบความสำเร็จในทุกสิ่งอย่างล้นเหลือแล้ว .มันมีก้าวต่อไป..ที่จะต้องหาความหมายของมัน..

"คนมักคิดว่า..ผมเป็นพวกต่อต้านพระคริสต์ หรือ ไม่เอาศาสนา..ผมไม่ได้เป็นอย่างนั้น..ผมเป็นคนนับถือศาสนาเต็มที่นะ.." จอห์นเคยถกเรื่องจิตวิญญาณนี้ไว้ตั้งแต่ปีคศ.ศ.1966..

"ผมเชื่อในพระเจ้า..แต่ไม่ใช่แบบที่เป็นตัวตน หรือเป็น"ชายแก่บนฟากฟ้า"..ผมเชื่อว่าสิ่งที่ผู้คนเรียกกันว่าพระเจ้า..นั้น..เป็นอะไรบางอย่างที่ดำรงอยู่ในตัวเราทุกคน..ผมเชื่อว่า .สิ่งที่พระเยซู พระมูฮัมหมัด พระพุทธเจ้า และศาสดาท่านอื่นๆกล่าวเอาไว้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง"..

พอลได้กล่าวเสริมในอีกไม่กี่เดือนต่อมาว่า.."พระเจ้าดำรงอยู่ในความว่างเปล่า..ระหว่างเรา..พระเจ้าอยู่บนโต๊ะข้างหน้าคุณ" นี่คือหนังสือ ..7 หลักการของ"เดอะบีเทิลส์"..ที่เปลี่ยนคนธรรมดา ให้เป็นต้นแบบและผู้นำกระแส.."เป็นตัวเอง..เป็นธรรมชาติ และ เป็นความแตกต่าง"..หนังสือนี้เขียนโดย"Larry Lange " และ แปลโดย"Winston O' Boogie"

นับเนื่องถึงวันนี้ "จอห์น เลนนอน"ได้จากเราไปแล้ว43ปี(8ธันวาคม 2523)..หากเขายังมีชีวิตอยู่เขาจะมีชีวิตได้83ปี../ผมรู้สึกคิดถึงเขา คิดถึงบทเพลงของเขา และ คิดถึง ความคิดอันแหลมคมและมีค่าของเขาเสมอ.. 

เขาจากโลกนี้และความเป็น"เดอะ บีเทิลส์"เช่นเดียวกับ"จอร์จ แฮริสัน"..เหลือไว้เพียงรอยอาลัยให้แฟนเพลงที่รักเพลงของเขาได้รำลึกถึง..อย่างไม่ลืมเลือนไปจากใจ..เพียงนั้น..!

"ผมเชื่อในทุกสิ่ง จนกว่ามันจะถูกพิสูจน์ว่าไม่เป็นความจริง..ดังนั้นผมจึงเชื่อในเรื่องของ นางฟ้า..เทพนิยาย ทั้งหมดนั้น..มีอยู่จริง แม้จะเป็นแค่ในจิตใจของคุณ..ใครเล่าจะบอกได้ว่า ฝันดีและฝันร้ายนั้นไม่ได้เป็นจริงเท่าๆกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ขณะนี้?..ในความจริงยังเหลือช่องว่างอีกมาก..ให้แก่..จินตนาการ.."