วันที่ 7 ธ.ค.66 ผูสื่อข่าวรายงาน ว่า เจ้าหน้าที่กองคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ผนึกกำลังร่วมกับหน่วยเฉพาะกิจปราบปรามพิเศษ (พยัคฆ์ไพร) สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 13 (สงขลา) ตำรวจ และฝ่ายปกครอง เข้าดำเนินคดีกับผู้ครอบครอง หลังข้อมูลการสืบสวนพบว่าเป็นการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ 2484

สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวของเอกชนแห่งหนึ่ง ในตำบลท่าหมอไทร อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา คือเป้าหมายที่เจ้าหน้าที่กองคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ผนึกกำลังร่วมกับกรมป่าไม้ โดยหน่วยเฉพาะกิจปราบปรามพิเศษ (พยัคฆ์ไพร) สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 13 (สงขลา) ฝ่ายปกครองอำเภอจะนะ ตำรวจกองบังคับการ 6 บก.ปทส. เข้าดำเนินดำเนินคดีกับผู้ประกอบการ หลังจากเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้รับการร้องเรียนจากพลเมืองดีขอให้ตรวจสอบกลุ่มนายทุนที่เข้ามาบุกรุก และเข้าทำประโยชน์ในที่ดินสาธารณะและพื้นที่ป่า จึงได้ลงพื้นที่สืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง กระทั้งพบว่าข้อร้องเรียนเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษในขณะนั้น จึงอนุมัติให้ทำการสอบสวนเป็นคดีพิเศษ ตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

โดยข้อมูลการสืบสวนของพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ซึ่งได้ลงพื้นที่สืบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดพบว่า เดิมที่ดินบริเวณนี้ได้รับการอนุญาตเป็นผู้ถือประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่ดีบุก และเมื่อเดือนมิถุนายน 2492 ได้โอนประทานบัตรให้กับบริษัทของทายาท ซึ่งกระทำก่อนประมวลกฎหมายที่ดินบังคับใช้ (1 ธันวาคม 2497) โดยประทานบัตรฉบับนี้สิ้นอายุเดือนเมษายน 2515 และได้ต่ออายุประทานบัตรอีกครั้งจนถึงเดือนมีนาคม 2536 แต่เมื่อเดือนเมษายน 2534 กลับพบข้อมูลว่าได้โอนประทานบัตรให้กับบริษัทของเอกชนอีกแห่งหนึ่ง และเมื่อสิ้นอายุประทานบัตรในปี 2536 ไม่พบว่ามีการขออนุญาตต่ออายุประทานบัตรแต่อย่างใด ซึ่งตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2560 มาตรา 59 วรรคท้าย ที่กำหนดว่าการใช้สิทธิ์ของผู้ถือประทานบัตร เมื่อสิ้นอายุประทานบัตรแล้วไม่เป็นเหตุให้ผู้ถือประทานบัตร ได้มาซึ่งสิทธิครอบครองที่ดินนั้น ฉะนั้นกรณีนี้ พื้นที่ดังกล่าวจึงอยู่ในความดูแลของสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 13 และกรมป่าไม้

ต่อมาเจ้าหน้าที่พบหลักฐานจากองค์การบริหารส่วนตำบลท่าหมอไทร ว่าที่ประชุมมีมติไม่เห็นชอบให้ต่อใบอนุญาตประทานบัตร เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ป่าตามมาตรา 4 (1) แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484  กระทั่งเดือนกรกฎาคม 2546 ข้อมูลจากสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสงขลา พบว่าบริษัทเอกชนที่ครอบครองพื้นที่ ได้ยื่นขอใบอนุญาตจัดตั้งสถานที่เพื่อการเก็บถังน้ำขุ่นข้นหรือมูลดินทรายนอกเขตเหมืองแร่ แต่ไม่มีการอนุญาตจากอุตสาหกรรมจังหวัดสงขลาแต่อย่างไร เนื่องจากยังไม่ได้มีการดำเนินการให้ครบถ้วนตามขั้นตอนการขออนุญาต และได้มีหนังสือถึงบริษัทฯ ให้ไปดำเนินการขออนุญาตใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่า จากหน่วยงานของกรมป่าไม้ แต่ข้อมูลจากสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 13 สงขลา พบว่าไม่ได้ยื่นเรื่องราวขออนุญาตแต่อย่างใด

กระทั่งปลายปี 2564 เจ้าหน้าที่กองคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ร่วมกับสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 13 (สงขลา) ฝ่ายปกครองอำเภอจะนะ ตำรวจกองกำกับการ 6 บก.ปทส. เจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินสงขลา สาขาจะนะ เจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสงขลา เจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสงขลา และผู้นำท้องถิ่น ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามข้อร้องเรียน พบว่าพื้นที่ดังกล่าวมีลักษณะเป็นพื้นที่ราบ เป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นขุมเหมืองเก่า โดยมีการปรับปรุงพื้นที่ก่อสร้างอาคาร มีการล้อมล้อมรั้วแสดงอาณาเขต และเปิดให้บริการนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจท่ามกลางธรรมชาติ และจะต้องเสียค่าเข้าบริการ โดยจากการนำชี้ของผู้ประกอบกิจการพบว่าครอบครองทำประโยชน์ 195-2-42 ไร่ และอ้างว่ามีเอกสารสิทธิ์ สค.1 จำนวน 12 ฉบับ และได้แสดงเอกสาร สค.1 ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเพียง 10 ฉบับ ซึ่งจากข้อมูลการสืบสวนของเจ้าหน้าที่พบว่า ไม่ได้อยู่ในบริเวณพื้นที่ครอบครอง

ล่าสุดเจ้าหน้าที่ได้เข้าดำเนินคดีกับผู้ครอบครองพื้นที่ หลังจากรวบรวมเอกสาร และพยานหลักฐานครบถ้วน ซึ่งการกระทำของผู้ครอบครองพื้นที่ เป็นการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 ฐานก่อสร้างเผาป่า หรือกระทำการใดๆเป็นการทำลายป่า เข้ายึดถือหรือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่น โดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 54 ประกอบมาตรา 72 ตรี และ มาตรา 55 พร้อมติดป้ายประกาศแสดงการตรวจยึดพื้นที่ และนำเรื่องราวร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดจนถึงที่สุด และเตรียมขยายผลไปยังพื้นที่ข้างเคียงหากพบการกระทำความผิด ก็จะดำเนินคดีต่อไป