วันที่ 6 ธ.ค. 2566 เวลา 12.00 น. ที่รัฐสภา น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า กล่าวถึงการเสนอร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่บุคคลซึ่งได้กระทำความผิดอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง พ.ศ. ... ของพรรคก้าวไกลขณะนี้ยังมีความเห็นแย้งจากพรรคร่วมรัฐบาลในหลายกรณี หากยังยืนยันจะให้ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯครอบคลุมการนิรโทษกรรมความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 112 อาจจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐบาล ว่าความเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ถือว่าเป็นไปในเชิงบวก ตั้งแต่วันที่พรรคก้าวไกลเสนอเป็นนโยบายหาเสียง ซึ่งตนในฐานะที่เป็นผู้ช่วยหาเสียง ก็มีการพูดถึงเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด เป็นเรื่องที่เรารู้อยู่แล้วว่า มีความเห็นที่แตกต่าง
“แต่ถามว่าทำไมตั้งแต่ตอนที่หาเสียงต้องชัดเจนว่า จำเป็นต้องบอกว่ารวมมาตรา 112 ด้วย เนื่องจากจุดประสงค์ในการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ฉบับนี้ เป็นเพราะความขัดแย้งแตกแยกในสังคมไทยซึ่งกำลังดำเนินอยู่ทุกวันนี้ เกิดจากความแตกต่างทางด้านความคิด หนึ่งในนั้นถูกแสดงออกผ่านการฟ้องร้องกรณีที่มีการเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112 เพราะฉะนั้น ถ้าเราต้องการจะออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ เพื่อคลี่คลายความขัดแย้ง และเดินหน้าต่อไปร่วมกัน บนความคิดเห็นที่แตกต่าง การละมาตรา 112 ออกไปก็จะทำให้ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ไม่สามารถทำให้บรรลุผลได้” น.ส.พรรณิการ์ กล่าว
น.ส.พรรณิการ์ กล่าวต่อว่า นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ก็ได้พูดไว้ดีแล้ว ซึ่งตนก็เห็นด้วยทุกประการ เป็นเรื่องดีที่สังคมจะก้าวต่อไป บนประชาธิปไตย ที่อยู่บนความแตกต่างหลากหลายได้ จำเป็นต้องคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งในอดีต ไม่ได้หมายความว่า ทำผิดไม่ต้องรับโทษ แต่ต้องยอมรับว่าคดีต่างๆ ที่ถูกดำเนินการโดยมีเป้าประสงค์ทางการเมือง หรือเกิดจากความคิดที่แตกต่างทางการเมือง หรือที่ภาษาสากลเรียกว่า “นักโทษทางความคิด” ที่หมายความว่า คุณไม่ได้ก่ออาชญากรรม แต่คุณมีความคิดเห็นที่แตกต่างจากรัฐ หรือผู้มีอำนาจรัฐ ซึ่งเป็นที่มาที่ทำให้ถูกดำเนินคดีอาญา เรื่องนี้จึงควรมีการนิรโทษกรรม แล้วมาเริ่มต้นพูดคุยกันใหม่ เพื่อให้ประเทศไทยอยู่ร่วมกันได้ บนความคิด และชุดอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน
เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคร่วมรัฐบาลจะเสนอร่างนิรโทษกรรมมาประกบกับพรรคก้าวไกล เงื่อนไข มาตรา 112 จะถูกกดไว้หรือไม่ น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า ดูจากหลายๆ พรรคตอนนี้ ก็มีความคิดเห็นในทางบวก ในแง่ที่ไม่ได้คัดค้าน แต่ไม่ได้ต้องการให้รวมมาตรา 112 ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เห็นแตกต่างกัน ในสภาฯ ถกเถียงกันได้ ตนคิดว่าคงเป็นไปตามกระบวนการที่พรรคต่างๆ จะเสนอร่างประกบ ซึ่งเมื่อมีร่างประกบก็หมายความว่า ไม่ได้มีแค่จุดที่เห็นต่าง แต่มีจุดที่เห็นตรงกันด้วย ไม่เช่นนั้นคงไม่ส่งร่างเข้ามาประกบ เป็นกลไกที่ต้องต่อสู้กันในสภาฯ
“ถ้าพรรคก้าวไกลไม่สามารถได้เสียงพอ ไม่สามารถใช้เหตุผลมาแสดงออกจนได้รับเสียงสนับสนุนมากพอ ก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ในกระบวนการนี้ แต่อย่างน้อยข้อเสนอของพรรคก้าวไกลก็เป็นสิ่งที่ดิฉันเห็นด้วย และประชาชนส่วนมากในสังคมเห็นด้วย อย่างน้อยที่สุดให้มีโอกาสได้ถกเถียง และเข้าสู่กระบวนการตามปกติของสภาฯ” น.ส.พรรณิการ์ กล่าว
เมื่อถามว่า ถ้ามาตรา 112 ยังเป็นเงื่อนไข ที่ทำให้พรรคอื่นยังไม่สามารถรับได้ จะสามารถไปถึงกระบวนการถกเถียงกันในสภาฯ ได้หรือไม่ น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่ถูกพิจารณาในสภาฯ เลย ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเสนอร่างประกบ ถ้าสุดท้ายแล้ว จะแพ้ หรือจะชนะ ก็ให้เป็นการทำงานจากนี้ไปจนถึงวันที่มีการโหวตร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม พรรคก้าวไกล ตนเชื่อว่าจะสามารถเชิญชวน หรือใช้เหตุผล ในการทำให้พรรคอื่นๆ เข้าใจในเรื่องนี้ได้ ถึงแม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 112 แต่การนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 คือคนละเรื่องกัน การทำให้พรรคต่างๆ เห็นด้วยการแก้ไขมาตรา 112 ตอนคิดว่ายากกว่ามาก แต่การนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 เพื่อให้สังคมกลับมาพูดคุยกันอย่างมีวุฒิภาวะ และสามารถไปต่อร่วมกันได้ จะเป็นเรื่องที่เราสามารถทำด้วยกันได้หรือไม่
เมื่อถามถึงกรณีที่นายชัยธวัช เคยระบุว่า แกนนำของพรรคอนาคตใหม่ อย่างนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และประธานคณะก้าวหน้า จะขอละเว้นการนิรโทษกรรมในคดีที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112 นั้น มีความจริงมากน้อยเพียงใด และมีเหตุผลเบื้องหลังอย่างไร น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า เราได้พูดคุยกันมาตลอดการเป็นผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกลว่า จะมีการจัดทำร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ดังกล่าว สิ่งแรกที่เราคิด และระมัดระวังอย่างมากคือ เรื่องนี้จะเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ เพราะมีบุคลากรของพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกลจำนวนหนึ่ง ซึ่งอาจเข้าข่ายได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ นี้ เราตระหนักเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกในการกระทำนโยบาย และ พ.ร.บ. เพื่อให้กฎหมายนี้สามารถเดินหน้าต่อไป แล้วตัวเองสามารถตอบสังคมได้อย่างถูกต้องตามหลักการ คือป้องกันข้อครหาผลประโยชน์ทับซ้อน อีกเหตุผลหนึ่งคือ เรามีความจำเป็นจริงๆ ที่เราต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยกระบวนการยุติธรรม เพราะเราเชื่อว่าไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย การพิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรม เราเชื่อว่าอาจจะทำให้เราได้รับความเป็นธรรมได้ เราไม่ต้องการให้ผลประโยชน์ทับซ้อนนี้ ขัดขวางการทำให้ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ นี้ ไปสู่จุดหมายปลายทาง
เมื่อถามว่า การสละสิทธิ์ไม่ได้รวมถึง สส. ก้าวไกลในปัจจุบันใช่หรือไม่ น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า เรื่องนี้คงต้องเป็นการตัดสินใจของเจ้าตัวเอง สส.ก้าวไกลในปัจจุบันหลายคนในขณะถูกคดีเป็นแค่ประชาชน เพราะฉะนั้น พอเป็น สส.แล้ว มีการบอกว่า เป็นผลประโยชน์ทับซ้อน ตนคิดว่าไม่เป็นธรรม ต่างกับที่พวกเราพรรคอนาคตใหม่โดน ขณะที่เราเป็น สส. แล้วทั้งหมด
เมื่อถามว่า การสละสิทธิ์ในครั้งนี้ จะถือเป็นต้นแบบให้พรรคการเมืองอื่นหรือไม่ น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่โมเดลระดับพรรค แต่เป็นการตัดสินใจระดับบุคคล เพราะสุดท้ายแล้ว สิทธิในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม เป็นสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน หากใครต้องการแสวงหาความเป็นธรรมให้ได้มาซึ่งความเป็นธรรม เราก็ไม่ควรปิดกั้น
เมื่อถามว่า คดีของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ส่วนใหญ่เป็นคดีทุจริต จะเข้าข่ายด้วยหรือไม่ น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า หากติดตามแนวทางพรรคก้าวไกล จะไม่ได้มุ่งฐานความผิดเป็นสิ่งสำคัญ แต่มุ่งที่มูลเหตุจูงใจว่า คดีที่บุคคลนั้นโดน มีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองหรือไม่ อย่างไร ดังนั้น จึงต้องมีคณะกรรมการที่เป็นตัวแทนของทุกฝ่ายมาพิจารณาว่า มีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองในคดีต่างๆ เหล่านั้นหรือไม่ ส่วนนายทักษิณจะเข้าข่ายหรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับคณะกรรมการว่าจะพิจารณาว่า มีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองหรือไม่
เมื่อถามว่า นายทักษิณ จะเป็นเหตุผลให้พรรคเพื่อไทยยกมือโหวตให้ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ของพรรคก้าวไกลหรือไม่ น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า ตนหวังว่ากรณีของนายทักษิณจะไม่เป็นมูลเหตุจูงใจให้พรรคเพื่อไทย แต่เป็นกรณีของประชาชนทั่วไป ที่ติดคุกอยู่ในวันนี้ ที่จะเป็นมูลเหตุจูงใจให้พรรคเพื่อไทย และทุกพรรคการเมืองเห็นความสำคัญว่า เราจะปล่อยให้ผู้ต่อสู้ทางการเมือง เพียงเพราะเขามีความเห็นที่แตกต่าง ติดคุกแบบนี้ต่อไปหรือไม่
"ดิฉันหวังใจว่ากรณีของคุณทักษิณ จะไม่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของพรรคเพื่อไทยเลยแม้แต่น้อย" น.สพรรณิการ์ กล่าว