วันที่ 4 ธ.ค.2566 เวลา 12.00 น.ที่รัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ประธานคณะอนุกรรมมาธิการพิจารณา ศึกษาการจัดทำข้อเสนอระบบเลือกตั้งและแนวทางการทำงานของสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่มาจากการเลือกตั้ง กล่าวภายหลังการประชุมว่า เป็นการประชุมของคณะอนุกรรมมาธิการจัดทำข้อเสนอเรื่องระบบ ส.ส.ร. ภายใต้คณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง สื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งทำงานมาประมาณ 1 เดือน โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อจัดทำข้อเสนอ ว่าหาก ส.ส.ร. มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดเราสามารถมีระบบเลือกตั้งแบบไหนได้บ้าง โดยจากการทำงานพบว่ากลุ่มคนเห็นต่างที่ไม่อยากให้ ส.ส.ร.มาจากการเลือกตั้ง มีข้อกังวล 2 ส่วนคือหากเลือกตั้งทั้งหมดจะมีพื้นที่ให้นักวิชาการ นักรัฐศาสตร์เข้ามาได้อย่างไร และจะมีหลักประกันความหลากหลายของกลุ่มคนในสังคมได้อย่างไร ซึ่งอนุกรรมาธิการพยายามคลาย 2 ข้อกังวลนี้ เพราะเรามีความเชื่อว่าหาก ส.ส.ร. มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด เราจะมีความชอบธรรมทางประชาธิปไตย

นายพริษฐ์ กล่าวว่า วันนี้เป็นโอกาสที่เรา นำข้อเสนอเบื้องต้นหรือรายงานเบื้องต้นจากหลายภาคส่วน คนที่มาให้ความเห็นในวันนี้มีตั้งแต่นักวิชาการ คนที่เคยยกร่างรัฐธรรมนูญปี 2539-2540 รวมถึงคณะกรรมการศึกษาจากรัฐบาล ซึ่งทำให้อนุกรรมาธิการมีความเห็นครบถ้วนและรอบด้านมากขึ้น ซึ่งเราอาจจะจินตนาการได้ว่า ส.ส.ร. ที่มาจากการเลือกตั้งอาจจะมี 3 ประเภท ตนเรียกว่า X Y และ Z โดย X เป็น สสร. ที่เป็นตัวแทนพื้นที่ / Y เป็น ส.ส.ร.ที่เป็นสัดส่วนนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งอาจจะมาจากเลือกตั้งโดยตรง หรือให้ ส.ส.ร.ที่ถูกเลือกมา คัดเลือกผู้เชี่ยวชาญอีกรอบ / และ Z เป็น สสร.ที่เป็นตัวแทนกลุ่มความหลากหลายทางสังคม ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมความเห็นและการประเมินข้อดีข้อเสีย บนเงื่อนไขว่าทุกประเภทที่กล่าวมาได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ซึ่งหากครบถ้วนแล้วจะนำไปเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรและยื่นให้คณะกรรมการศึกษาของรัฐบาลพิจารณาต่อ โดยอยู่บนพื้นฐานความหวังว่าทุกคนจะคล้ายข้อกังวล และเห็นตรงกันได้ว่า ส.ส.ร. ควรมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด

เมื่อถามว่าประเมินว่าฝั่งรัฐบาลจะเห็นด้วยมากน้อยแค่ไหน นายพริษฐ์ กล่าวว่า ก็คงต้องรอดูว่าหลังจากที่เรายื่นไปแล้วมีท่าทีอย่างไร สิ่งที่เราทำคือเพื่อคลายข้อกังวล

“หากผมถอดหมวกประธานคณะกรรมาธิการการเมืองฯ ออก แล้วเป็น สส. ก้าวไกล ผมอยากให้เสนอคำถามการจัดทำประชามติให้เป็น 1 คำถามหลัก 2 คำถามพ่วง ที่ทำหน้าที่แตกต่างกัน 1 คำถามหลัก เป็นคำถามที่เปิดกว้างที่สุด เพื่อให้ประชาชนเห็นว่าควรจะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แม้จะมีความเห็นที่แตกต่างกันว่า ส.ส.ร. มีอำนาจและที่มาอย่างไร สามารถเห็นตรงกันได้ในคำถามหลัก เราจึงเสนอคำถามหลักเป็นคำถามที่กว้างว่าเห็นด้วยหรือไม่กับการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่”

นายพริษฐ์ กล่าวว่า ใน 2 คำถามพ่วง เป็นคำถามที่เราแก้ไขปัญหาความเห็นที่ยังแตกต่างกันอยู่ในรายละเอียด ได้แก่ ส.ส.ร. ควรมาจากการแต่งตั้งทั้งหมดหรือไม่ และเรื่องที่ 2 เป็นเรื่องการล็อกหมวด 1-2 ไว้

เมื่อถามว่าคำถามพ่วงจะไม่ทำให้ประชาชนสับสนหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ก็เป็นข้อกังวลที่เรายังศึกษาอยู่ แต่ตนคิดว่าหากเป็น 1 คำถามหลัก 2 คำถามพ่วง แล้วเราสร้างบรรยากาศในการรณรงค์ในช่วงประชามติที่ทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้อย่างกว้างขวางที่สุด จะทำให้สามารถประชาชนมีข้อมูลครบถ้วน

ทางด้าน นายนิกร จำนง กรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติฯ กล่าวสนับสนุนรูปแบบ ส.ส.ร. โดยโมเดล ปี 2540 ให้มีจังหวัดละ 1 คน รวม 77 คน ส่วนกรรมการยกร่างรัฐะรรมนูญต้องมีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกัน รวมมถึงส.ส.ร.ต้องมีหน้าที่รับฟังความเห็นประชาชน เพื่อรวบรวมความเห็นนำไปจัดทำรัฐธรรมนูญโดยใช้โครงสร้างของรัฐธรรมนูญเดิม ส่วนของผู้เชี่ยวชาญนั้น ตนมองว่าจำเป็น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับการแสดงความเห็นของตัวแทนภาคประชาชน และตัวแทนคนรุ่นใหม่ ร่วมให้ความเห็นในภาพรวมคือ สนับสนุนที่มาของส.ส.ร.จากการเลือกตั้งของประชาชน แต่กระบวนการเลือกของ ส.ส.ร.นั้นไม่ควรซับซ้อน และควรทำอย่างตรงไปตรงมา นอกจากนั้นเห็นว่ามีความจำเป็นที่ต้องมีนักวิชาการร่วมเป็น ส.ส.ร.เพื่อทำงานทางเทคนิค และเสนอความเห็นในการจัดทำรัฐธรรมนูญ นอกจากนั้นยังสนับสนุนให้คนชายขอบ กลุ่มคนเฉพาะ เช่นคนพิการ ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นผู้เชี่ยวชาญต้องมีบทบาทในการผลักดันวาระการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไม่ใช่เลือกให้เข้ามาเป็นไม้ประดับเท่านั้น