เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า "บก.ลายจุด" สมบัติ บุญงามอนงค์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก สมบัติ บุญงามอนงค์ ระบุว่า...

เค็งเกิดในครอบครัวคนจีนที่มีพี่น้อง 9 คน เธอเป็นคนที่ 8 ฐานะทางบ้านค่อนข้างยากจนในวัยเด็ก พี่ๆต้องทำงานส่งเสียเธอเรียน และเธอเป็นคนเดียวในบ้านที่มีโอกาสเรียนหนังสือจนจบปริญญาเอก ด้วยทุนกระทรวงวิทยฯและมหาวิทยาลัยดังภาคเหนือ

เรื่องมีอยู่ว่าตอนเธอเรียน ป.เอก อยู่ที่อังกฤษอยู่นั่นเธอป่วยด้วยโรคจิตเวช เธอเข้าสู่กระบวนการรักษาใน รพ แต่โชคดีระบบการดูแลของมหาวิทยาลัยที่นั่นดีมากจนอาการของเธอกลับมาดีและเรียนจนจบ ป.เอก และกลับมาทำงานใช้ทุนเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยดังภาคเหนือ และเมื่อทำงานเป็น อ.ได้อีกสักระยะหนึ่งอาการป่วยของเธอกำเริบและไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ผู้บริหารขอให้เธอลาออก ด้วยสภาวะการเจ็บไข้ทำให้เธอเขียนข้อความลาออกทางอีเมล์ในขณะที่ยังไม่ครบเงื่อนไขการใช้ทุน และมหาวิทยาลัยก็ฟ้องเธอเรียกเงินชดเชยทุนที่ส่งเธอไปเรียนนับสิบล้านบาท

ดร.เค็ง ไม่รู้เลยว่าการเจ็บป่วยของเธอนั้นจะนำไปสู่ความยุ่งยากถึงขนาดนี้ เธอเดินเร่ร่อนอยู่ที่เชียงราย ขี่จักรยานจากในเมืองไปแม่จัน พูดคนเดียว ไม่อาบน้ำ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเดิมๆอยู่เป็นปี เธอป่วยจิตเวชเต็มรูปแบบ กว่าเธอจะได้เข้าสู่กระบวนการรักษาก็ผ่านไปหลายปี แม้ตอนนี้อาการจิตเวชจะดีขึ้นแล้วเธอยังมีอาการซึมเศร้า และรับรู้ว่าตนเองกำลังเผชิญหน้ากับการฟ้องร้องจนต้องกลายเป็นบุคคลล้มละลายและทำให้พี่ชายที่เซ็นค้ำประกันตอนขอทุนได้รับความเดือดร้อนไปด้วย

เค็งต่อสู้คดีโดยลำพังในศาลปกครองในขณะที่เธอยังอยู่ในสภาพที่แม้ดีขึ้นแต่ไม่ปกติ เธอสู้ว่าเธอไม่ได้หนีทุน แต่เพราะเธอป่วยซึ่งมิใช่การกระทำของตนเอง ซึ่งในระเบียบของกระทรวงวิทยฯได้มีข้อยกเว้นการใช้ทุนหากเจ็บป่วยจนไม่สามารถทำงานได้ แต่มหาวิทยาลัยดังภาคเหนือ สู้ในประเด็นว่าเธอลาออกและไม่ทำงานใช้ทุน ศาลรับพิจารณากรณีเพียงได้ใช้ทุนหรือไม่ แต่ไม่ได้พิจารณาว่าป่วยหรือไม่ป่วย เธอแพ้คดีในศาลปกครองชั้นต้น และอยู่ระหว่างการอุทธรณ์

คนที่เคยเป็นความหวังของครอบครัวกลับกลายอยู่ในสภาพที่ถูกฟ้องร้องด้วยเงินนับสิบล้านบาท แม้พยายามขอกลับเข้าไปทำงานเพื่อยุติข้อพิพากก็ไม่ได้รับโอกาส จนเมื่อวันที่ 1 ธ.ค 66 เธอได้กลับไปทำงานให้กับมูลนิธิฯแห่งหนึ่งอยู่ภายใต้หน่วยงานรัฐ ซึ่งเป็นการกลับเข้าสู่การทำงานในรอบสิบปี และเธอมีความสุขมาก แม้หัวหน้างานจะบอกว่างานวิจัยของเธอนั้นทำงานที่บ้านได้ แต่เธออยากออกมาเจอผู้คนและกลับเข้าสู่การทำงานอีกครั้ง