วันที่ 26 พ.ย. 2566 นายนราพัฒน์ แก้วทอง รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวยืนยันว่า ตนจะลงสมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในการประชุมใหญ่พรรควันที่ 9 ธ.ค.ที่จะถึงนี้ หากมีผู้เสนอชื่อต่อที่ประชุมฯ ไม่ได้คิดจะถอนตัวแต่อย่างใด
นายนราพัฒน์ กล่าวว่า เห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้มีข้อเสียอะไร และมีจุดยืนของพรรคที่ชัดเจน เพียงแต่ว่าการสื่อสารในอดีตที่ผ่านมา สื่อสารออกมาแล้ว ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน คนก็เลยอาจมองว่า เราไม่ค่อยเข้าขากัน แต่จริงๆ แล้วประชาธิปัตย์เป็นประชาธิปไตย มีการแข่งขันกันอย่างเสรี และเรื่องอะไรที่เป็นปัญหา ก็จะนำเข้ามาพูดคุยกันในพรรค แล้วก็โหวตโดยใช้เสียงส่วนใหญ่ออกมาเป็นมติพรรค การที่หลายคนในพรรคอาจมีความคิดเห็นส่วนตัวแล้วสื่อสารหรือแสดงความคิดเห็นไป ก็เป็นความคิดเห็นส่วนตัว แต่ท้ายที่สุดแล้วก็มาตัดสินกันในเวทีประชุมกรรมการบริหารพรรคและส.ส.ของพรรค ที่จะตัดสินใจร่วมกันออกมาเป็นมติพรรค ดังนั้นการที่จะทำให้มติพรรค มีความศักดิ์สิทธิ์ เข้มแข็งได้ เราก็ต้องมีระเบียบวินัย มติพรรคอย่างมาอย่างไร ต้องเดินตาม นี้คือวินัยในการที่จะอยู่ร่วมกันในระบอบประชาธิปไตยของพรรค
นายนราพัฒน์ กล่าวว่าหากได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรค คนใหม่ เรื่องแรกๆที่จะทำก็คือ จะเดินสาย ทำความเข้าใจกับสมาชิกพรรคทั้งหมด จะเปิดรับฟังความคิดเห็นสมาชิกพรรคว่าอยากเห็นทิศทางพรรคเดินไปอย่างไร เดินไปในทิศทางไหน เพื่อให้กรรมการบริหารพรรค ได้เข้ามาปรับและพิจารณา ไม่ใช่ top -down ลงไป เมื่อเราได้ข้อมูลดังกล่าว เราก็คงต้องรีบ ระดมคน ระดมสมอง ระดมทรัพยากรต่างๆ เพื่อมาร่วมกันวางแผนในการขับเคลื่อนพรรค รวมถึงต้องให้ความสำคัญกับเรื่องการสื่อสาร จำเป็นต้องมีมืออาชีพเข้ามาบริหารจัดการในเรื่องระบบการสื่อสารองค์กร
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้ที่เคยบอกหากได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรค จะอยู่แค่สองปี ก็พร้อมจะลาออก นายนราพัฒน์ กล่าวว่า ต้องการเข้าไปแก้ปัญหา ไม่ได้อยากเข้าไปมีอำนาจ แล้วก็ผูกยึดอยู่กับอำนาจ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีเจ้าของ เป็นพรรคของทุกคน ถ้าเราแสดงเจตนารมณ์อย่างนี้ สมาชิกก็น่าจะเห็นเจตนารมณ์ของเรา ว่าเราต้องการเข้ามาเปลี่ยนแปลงจริงๆ เข้าไปปรับปรุงจริงๆ แล้วก็พร้อมที่จะถอยออกไป แต่หากสมมติว่าผ่านไปหนึ่งปีครึ่ง เราทำได้ดี ตนถอยออกมา แต่ก็มีคนสนับสนุนให้ลงสมัครหัวหน้าพรรคปชป.ต่อ เราก็เดินต่อได้ แต่หากอนาคต มีใครที่เหมาะสม ก็พร้อมสนับสนุนคนๆนั้นขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคในรูปแบบที่เราได้วางระบบเอาไว้ จะได้เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ๆเข้ามา
อย่างที่มีคนพูดถึงบางชื่อเช่น ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือมาดามเดียร์ นางวทันยา บุนนาค ที่จะเข้ามา แต่ก็อาจยังติดข้อบังคับเรื่องการต้องเป็นสมาชิกพรรคมาก่อนไม่น้อยกว่าหนึ่งปี ซึ่งเรื่องแบบนี้เราสามารถพูดคุยและปรับเปลี่ยนได้เพื่อเปิดโอกาสให้คนเข้ามาหาเรามากขึ้น ได้เข้ามามีบทบาทในพรรคมากขึ้น การจะเข้าไปครั้งนี้ เป็นการเข้าไปเพื่อจะปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับยุคสมัย แล้วก็พร้อมจะถอยออกมา เพื่อให้คนที่เหมาะสมเข้าไปบริหารต่อ แต่หากเห็นว่าทีมที่ตนทำงาน เป็นทีมที่ดี แข็งแรง จะให้บริหารต่อ อันนี้ก็ไม่ขัดข้อง
เมื่อถามว่าหลังการประชุมใหญ่พรรค 9 ธ.ค.คิดว่าจะมีเลือดไหลออกจากพรรคปชป.หรือไม่ นายนราพัฒน์ กล่าวว่า ไม่ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากตนได้รับเลือกแล้ว จะมีคนออกหรือไม่มีคนออก เราไม่สามารถไปก้าวล่วงเขาได้ แต่หากรักประชาธิปัตย์ พรรคประชาธิปัตย์ก็พร้อมให้โอกาส หากครั้งนี้ยังไม่ถูกใจ หากไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรง ก็อดทนแล้วก็อยู่ต่อ แล้วอีกหนึ่งปีครึ่ง-สองปีข้างหน้า สามารถนำเสนอตัวเองเข้ามา เป็นผู้ขับเคลื่อนหรือผู้บริหารพรรคได้ แต่ถ้ามันไม่ไหวจริงๆ มันหยุดไม่ได้ที่จะต้องไป ผมว่าก็เป็นเรื่องปกติ พรรคก็จะยังเดินหน้าอยู่ อย่าไปยึดติดกับตัวบุคคลให้ยึดติดกับพรรค
“อย่างสมมติหากผมไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรค ผมก็จะยังอยู่กับพรรค เพราะถ้าไป คงไปนานแล้ว แต่จริงๆ ก็ยังอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ แต่บทบาทก็อาจเปลี่ยนแปลงไป เช่น อาจเป็นเหมือนคุณอภิสิทธิ์ ก็คือก็เป็นสมาชิกพรรค แต่ก็อยู่ข้างหลัง ผมว่ามันมีความหลากหลาย ขอให้คิดง่ายๆ ว่าให้พรรคเดินไปได้ ส่วนพวกเรา ตัวบุคคล จะอยู่จะไป จะเป็นอะไร จะมีตำแหน่งหรือไม่มีตำแหน่ง เป็นเรื่องเล็ก” นายนราพัฒน์ กล่าว
มีรายงานว่าสำหรับ ทีมที่จะลงสมัครชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรค ในส่วนของนายนราพัฒน์นั้น มีการวางตัวนายเดชอิศม์ ขาวทอง สส.สงขลา รักษาการรองหัวหน้าพรรคปชป.ไว้เป็นเลขาธิการพรรค หากนายนราพัฒน์ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่