นักวิจัยไทยและต่างชาติ ค้นพบพืชสกุลกระเจียวแฝดสามชนิดใหม่ของโลก ตั้งชื่อว่า "กระเจียวลินด์สตรอม" ว่านเพชรม้าล้านนา และว่านเพชรม้าอีสาน

วันที่ 24 พ.ย.66 ดร.ศุทธิณัฏฐ์ สุนทรกลัมพ์ อาจารย์สังกัดคณะทรัพยากรธรรมชาติและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติจังหวัดสกลนคร ร่วมกับ ดร.Jana Leong-Škorničková และ Sarah Q. Lim จากสวนพฤกษศาสตร์สิงคโปร์ และนายศิระ นิเวศรัตน์ นักวิจัยอิสระ ได้ร่วมกันศึกษาทบทวนพืชสกุลกระเจียวในกลุ่มที่เรียกกันทั่วไปว่า “ว่านเพชรม้า” ที่มีลักษณะเด่นคือ ดอกมีสีเหลืองส้มและสีแดง

ดร.ศุทธิณัฏฐ์ สุนทรกลัมพ์ เปิดเผยว่า จากผลการศึกษาพบว่ากลุ่มของว่านเพชรม้า ประกอบด้วยกระเจียวหลายชนิด โดยในเดือนธันวาคม ปี พ.ศ.2565 คณะผู้วิจัยสามารถจำแนกว่านเพชรม้าชนิดแรกและได้ตีพิมพ์บทความทางวิชาการลงในวารสาร Garden’s Bulletin Singapore โดยตั้งชื่อพืชชนิดนี้ว่า กระเจียวลินด์สตรอม (Curcuma lindstromii Škorničk. & Soonthornk.) เพื่อเป็นเกียรติให้แก่ นาย Anders J. Lindström ผู้รวบรวมและรักษาพรรณพืชอันดับขิง (Order Zingiberales) ที่สำคัญแห่งสวนนงนุช พัทยา

กระเจียวลินด์สตรอม

กระเจียวลินด์สตรอม เป็นพืชล้มลุกสูงประมาณ 60 ซ.ม. ลำต้นใต้ดินรูปไข่ขนาดเล็กมีการแตกแขนงสั้นๆ 1-3 ซม. เนื้อด้านในลำต้นสีขาวครีม ใบรูปไข่หรือไข่กว้าง แผ่นใบพับจีบ ผิวใบมีขนทั้ง 2 ด้าน ช่อดอกออกที่กึ่งกลางของลำต้น ออกดอกช่วงเดือนมิถุนายนถึงกันยายน มีลักษณะเด่นคือมีดอกมีสีเหลืองที่มีจุดสีน้ำตาลแดงเข้มแต้มที่ปลายกลีบปากและปลายสเตมิโนด (เกสรเพศผู้ที่เป็นหมัน) ช่อดอกประกอบด้วยใบประดับสีแดง 20-40 ใบ กระเจียวลินด์สตรอมมีการกระจายพันธุ์อยู่ในเขตจังหวัดสระแก้วและจันทบุรี สถานภาพของกระเจียวลินด์ตรอมจัดอยู่ในพืชกลุ่มที่มีมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ (Vulnerable; VU) เนื่องจากประชากรในธรรมชาติมีจำนวนไม่มากและส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่อนุรักษ์ จึงมีความเร่งด่วนในการอนุรักษ์ ซึ่งภาควิชาเกษตรและทรัพยากร คณะทรัพยากรธรรมชาติและอุตสาหกรรมเกษตร (คณะทอ.) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติจังหวัดสกลนคร จะเร่งทำการเก็บรักษาพันธุ์และอนุรักษ์นอกถิ่นอาศัย และขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชต่อไป

ในปีพ.ศ. 2566 คณะผู้วิจัยได้ขยายความร่วมมือกับเครือข่ายวิจัย โดยร่วมกับนาย Anders J. Lindström แห่งสวนนงนุช พัทยา และ ดร.ปิยเกษตร สุขสถาน แห่งองค์การสวนพฤกษศาสตร์ ในการศึกษากลุ่มของว่านเพชรม้าอย่างต่อเนื่อง และผลของการศึกษาอย่างละเอียด ทำให้สามารถจำแนกกระเจียวชนิดใหม่จากกลุ่มว่านเพชรม้าได้อีก 2 ชนิด และได้บรรยายลักษณะทางพฤกษศาสตร์และสำรวจการกระจายพันธุ์ของกระเจียวทั้ง 2 ชนิด ภายใต้การนำโดย Dr. Jana Leong-Škorničková นักอนุกรมวิธานผู้เชี่ยวชาญพืชสกุลกระเจียว (Curcuma) อันดับหนึ่งของโลก และร่วมกันตีพิมพ์บทความลงในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ Phytokeys โดยว่านเพชรม้าชนิดแรก ได้รับการตั้งชื่อว่า “ว่านเพชรม้าล้านนา” (Curcuma maxwellii Škorničk. & Suksathan) เพื่อเป็นเกียรติและรำลึกถึงคุณูปการของ ดร. James F. Maxwell อาจารย์และนักพฤกษศาสตร์ผู้อุทิศตัวในการศึกษาอนุกรรมวิธานพืชของประเทศไทยมากกว่า 40 ปีและเป็นภัณฑารักษ์ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์พืช ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นอกจากนี้ยังเป็นผู้เก็บตัวอย่างว่านเพชรม้าล้านนาในปีพ.ศ. 2535 อีกด้วย

ว่านเพชรม้าล้านนา เป็นพืชล้มลุกสูงประมาณ 80 ซ.ม. ลำต้นใต้ดินรูปไข่ขนาดเล็ก เหง้าแขนงมีลักษณะผอม เนื้อด้านในลำต้นสีเหลือง ใบรูปไข่หรือไข่กว้าง แผ่นใบพับจีบ ออกดอกช่วงเดือนมิถุนายนถึงกันยายน มีลักษณะเด่นคือ ใบด้านไกลแกน (ท้องใบ) ไม่มีขน ช่อดอกประกอบด้วยใบประดับ 15-34 ใบ มีสีเขียวอ่อนหรือสีแดงอ่อน มีใบประดับย่อยขนาดเล็ก กลีบปาก สเตมิโนดและและอับเรณูมีสีเหลืองส้ม กลีบดอกมีสีแดง เกสรเพศผู้มีความยาว 16-18 มม. มียอดเกสรเพศผู้สั้นประมาณ 1 มม. ว่านเพชรม้าล้านนามีการกระจายพันธุ์ในเขตจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย

ว่านเพชรม้าล้านนา

ว่านเพชรม้าอีสาน

และว่านเพชรม้าชนิดที่ 2 ได้รับการตั้งชื่อว่า “ว่านเพชรม้าอีสาน” (Curcuma rubroaurantiaca Škorničk. & Soonthornk.) มีการกระจายพันธุ์ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน โดยพบมากที่จังหวัดสกลนครและเลย นอกจากนี้ยังมีรายงานพบที่จังหวัดชัยภูมิและเพชรบูรณ์อีกด้วย ว่านเพชรม้าอีสานเป็นพืชล้มลุกสูงประมาณ 60 ซ.ม. ออกดอกช่วงเดือนมิถุนายนถึงกันยายน มีลักษณะคล้ายกับว่านเพชรม้าล้านนา แต่แตกต่างกันที่ใบด้านไกลแกน (ท้องใบ) มีขนละเอียดปกคลุมหนาแน่น ช่อดอกประกอบด้วยใบประดับประมาณ 14 ใบ มีสีเขียวอ่อน สีขาวครีมหรือสีแดง ไม่มีใบประดับย่อย กลีบปาก สเตมิโนดและอับเรณูมีสีเหลืองส้ม กลีบดอกมีสีแดง เกสรเพศผู้มีความยาว 19-22 มม. มีสันอับเรณูมีความยาว 2-3 มม. มีร่องที่กึ่งกลางของสันอับเรณู และจากข้อมูลการสำรวจประชากรและการใช้ประโยชน์ของว่านเพชรม้าทั้ง 2 ชนิด พบว่ายังไม่มีการใช้ประโยชน์โดยคนท้องถิ่นทำให้มีแนวโน้มถูกคุกคามไม่มากนัก และประชากรในธรรมชาติจำนวนมากยังพบอยู่พื้นที่อนุรักษ์ ทำให้สามารถกำหนดสถานการอนุรักษ์เบื้องต้นได้ในที่ระดับความเสี่ยงต่ำต่อการสูญพันธุ์ (Least Concern; LC) อย่างไรก็ตามจากลักษณะของดอกที่มีสีสันสวยงามทำให้กระเจียวดังกล่าวมีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็นไม้ประดับได้

ดร.ศุทธิณัฏฐ์ สุนทรกลัมพ์ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่สำรวจ ประชากรของกระเจียวทั้ง 3 ชนิดบางส่วนขึ้นอยู่ในพื้นที่นอกเขตอนุรักษ์ ทำให้สุ่มเสี่ยงต่อการถูกทำลายจากการทำการเกษตรและการเก็บออกจากธรรมชาติได้ ทางคณะผู้วิจัยมีแผนที่ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเพื่อเป็นการอนุรักษ์นอกถิ่นอาศัยและรักษาพันธุกรรม ณ คณะทรัพยากรธรรมชาติและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติจังหวัดสกลนคร เพื่อใช้ประโยชน์ในการศึกษาวิจัยในอนาคตต่อไป

 

เอกสารอ้างอิง

https://www.nparks.gov.sg/sbg/research/publications/gardens'-bulletin-singapore/listing-of-publications

doi: 10.26492/gbs74(2).2022-09

https://phytokeys.pensoft.net/article/111400/list/18/

doi: 10.3897/phytokeys.235.111400