‘วันรับปริญญา’ ถือเป็นวาระแห่งความสุขและการเฉลิมฉลอง มีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่มองว่าวันรับปริญญาคือหลักไมล์สำคัญของชีวิต เป็นรอยต่อที่จะก้าวเข้าสู่โลกการทำงานอย่างเต็มตัว แทบทุกมหาวิทยาลัยจัดกิจกรรมรับปริญญาขึ้นด้วยความปรารถนาดี เพื่อส่งมอบประสบการณ์และความทรงจำอันดีให้กับเหล่าบัณฑิต ให้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความสนุกสนาน และความภาคภูมิใจของคนในครอบครัว
นั่นจึงกลายมาเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในโอกาสแห่งการแสดงความยินดี ของขวัญนานาชนิดถูกส่งมอบแก่บัณฑิตแทนความรู้สึก ทว่าสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) และว่าที่บัณฑิตจากรั้ว มธ. กลุ่มหนึ่ง ที่สำเร็จการศึกษาในปีการศึกษา 2564 นี้ กลับตีความ ‘กิจกรรมวันรับปริญญา’ ด้วยนิยามใหม่ เขาเหล่านั้นมองว่า การแสดงความยินดีนั้นสามารถแสดงออกได้หลากหลาย มากกว่าเพียงแค่การให้ของขวัญ และผู้ที่เข้ามาร่วมแสดงความยินดีกับบัณฑิต ก็ควรได้รับประโยชน์จากวาระอันดีงามนี้ไปพร้อมๆ กันด้วย
นั่นจึงเป็นที่มาของแนวคิด ‘ให้ของขวัญเป็นความสุขส่งต่อได้’ และต้องการส่งต่อไอเดียไปถึงสถาบันการศึกษาอื่น ๆ ที่เห็นสอดคล้องกัน เพื่อร่วมกัน ‘พลิกโฉม’ วันรับปริญญาใหม่ สร้างค่านิยมใหม่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อบุคคล สังคม และโลกใบนี้
สำหรับวันรับปริญญานั้น เป็นวันที่คนที่เรารักและคนที่รักเรา ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ยอมสละเวลา-สละชีวิตส่วนตัว เพื่อเดินทางมาแสดงความยินดี มาร่วมเฉลิมฉลองกับบัณฑิตมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงมองเห็นถึงวาระโอกาสที่ดีในครั้งนี้ ที่จะทำอะไรกันมากกว่าการถ่ายรูปและให้ของขวัญแก่บัณฑิต เปลี่ยนจากวันเฉลิมฉลองไปสู่ ‘วันมอบโอกาสให้สังคม’ แทน
นรมน ปุณยชัยพันธ์ หรือ หมูแฮม กรรมการบัณฑิต ให้ความเห็นว่า การเข้าร่วมแสดงความยินดีกับบัณฑิตเนื่องในโอกาสจบการศึกษาเมื่อถึงวันรับปริญญานั้น ความคิดแรก ๆ ของผู้ที่มาร่วมงานมักเป็นการซื้อของขวัญมอบให้กับบัณฑิต เช่น ดอกไม้ ลูกโป่ง ตุ๊กตา ฯลฯ ด้วยเจตนาที่ต้องการแสดงความยินดี ซึ่งแม้บัณฑิตจะรู้สึกดีใจที่มีคนมาหาและมอบของให้ แต่ก็ต้องคิดต่อไปว่า หลังจากนั้นจะทำอย่างไรกับของขวัญเหล่านั้นดี เพราะของที่ไม่มีประโยชน์ก็จะมีโอกาสกลายเป็นขยะ ซึ่งมองว่า หากต้องการมอบของขวัญให้แก่บัณฑิตแล้ว การเลือกสิ่งของที่สามารถนำไปใช้งานต่อได้ ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่สร้างสรรค์และน่าสนใจมากกว่า
“อาจเลือกมอบสิ่งของที่คิดว่าบัณฑิตคนนั้นได้ใช้ หรือมาเพื่อแสดงความยินดีเฉย ๆ ก็ได้ เพราะบัณฑิตหลายคนก็มองเหมือนกันว่าเพียงแค่มาร่วมแสดงความยินดี เพียงเท่านี้ก็ดีใจแล้ว หรือเปลี่ยนเป้นนัดทานข้าวภายหลัง แต่หากอยากมอบของขวัญให้กับบัณฑิตจริง ๆ อย่างดอกไม้ หรือลูกโป่ง เพราะบางคนมองว่าถ่ายรูปแล้วสวย ก็คิดว่ายังคงสามารถทำได้ เพียงแต่เราอาจมีทางเลือกที่ยั่งยืนมากขึ้น เช่น ‘ดอกไม้’ อาจใช้ทางเลือกที่เป็นดอกไม้ตากแห้ง หรือดอกไม้ลักษณะที่เป็นถักไหมพรม ซึ่งบัณฑิตสามารถเก็บไว้ใช้ต่อได้ ย้ำว่านี่ไม่ใช่การกล่าวโทษว่าการให้ของขวัญนั้นไม่ดี เพียงแต่อาจช่วยสร้างความตระหนักให้ผู้คนได้ฉุกคิดถึงทางเลือกอื่นๆ โดย ผู้ให้ก็ดีใจ ผู้รับก็สุขใจ และยังดีต่อโลกมากขึ้นด้วย” นรมน กล่าว
ขณะที่ คุณากร ตันติจินดา หรือ บี๋ นายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสนอความคิดเห็นว่า แม้การมอบของขวัญจะดูเป็นเรื่องปกติ เป็นสัญลักษณ์ในการสื่อสารเพื่อแสดงความยินดีกับใคร แต่ในมุมที่เป็นข้อเสียคือ ของขวัญที่นำมามอบให้หลายอย่างนั้น ผู้รับอาจเอาไปใช้ประโยชน์ต่อไม่ได้และกลายเป็นขยะต่อไป อย่างเช่นดอกไม้ หรือแม้หากเป็นของขวัญที่ใช้งานได้ แต่มีคนนำมามอบให้เยอะ สุดท้ายก็อาจมีของจำนวนมากที่ไม่ได้ถูกใช้งาน แต่เพื่อให้เป็นประโยชน์กับผู้รับ หรือบัณฑิตได้มากยิ่งขึ้น จึงคิดว่าอาจเลือกให้เป็นของขวัญที่สามารถนำเอาไปใช้งานได้จริงก่อน เป็นสิ่งของที่จะได้ใช้ในชีวิตประจำวัน ส่วนสิ่งของที่ไม่สามารถนำไปใช้งานต่อได้ หรือสิ่งของที่เน่าเสียตามกาลเวลา ก็ควรที่จะหลีกเลี่ยง แล้วหาแนวทางอื่น ๆ ในการส่งต่อความสุข ความยินดี เช่น อาจเป็นการร่วมนำเอาสิ่งของไปบริจาคหรือทำบุญ
ด้าน สุชาวลีรัตน์ อุ่นคุณธรรม หรือ มิลค์ บัณฑิตคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ ทูตอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้มุมมองว่า การรับปริญญาเสมือนหนึ่งสัญลักษณ์ความสำเร็จของบัณฑิต หลังจากที่ใช้เวลาศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยมานาน คนที่มาร่วมงานจึงรู้สึกอยากแสดงความยินดี และมักจะมีของขวัญติดไม้ติดมือมาด้วย เป็นของที่ดูแล้วน่ารักในวันดังกล่าว แต่ก็อาจเป็นขยะได้ในวันต่อไป เช่น ป้ายจบการศึกษา หรือดอกไม้ ที่วันหนึ่งก็แห้งเหี่ยวไป เชื่อว่าในเมื่อจุดประสงค์หลักคือการร่วมแสดงความยินดี แต่คนอาจยังไม่ได้คิดต่อไปไกลว่าของขวัญเหล่านั้นสุดท้ายแล้วจะไปกองอยู่จุดไหน จึงทำให้รูปแบบการแสดงความยินดีนี้อาจไปสร้างภาระให้กับมหาวิทยาลัยหรือส่วนอื่น ๆ ต่อไปได้ ดังนั้นในสมัยปัจจุบันที่เรามีการรณรงค์ในเรื่องสิ่งแวดล้อม การพยายามไม่ทำร้ายหรือสร้างภาระให้กับโลกกันมากขึ้น จึงเป็นการดีหากเราจะร่วมกันเปลี่ยนรูปแบบการให้และรับของขวัญกันได้มากขึ้น
การที่คนรุ่นใหม่มีความใส่ใจในเรื่องสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากเขาเป็นคนในรุ่นที่ได้รับผลกระทบจากผลของการไม่ใส่ใจโลกมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาโรคระบาด หรือการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติต่าง ๆ ทำให้ต้องหันมาสนใจเรื่องนี้กันมากขึ้น โดยมีหลายพฤติกรรมที่นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการพกแก้วน้ำส่วนตัว หรือการพกถุงใส่ของใช้ซ้ำ ซึ่งแนวคิดการมอบของขวัญในงานรับปริญญานี้ ก็อาจเป็นจุดเปลี่ยนหนึ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้เช่นกันโดยเฉพาะบทบาทของมหาวิทยาลัย เพราะการรณรงค์สิ่งเหล่านี้ในงานรับปริญญา ผู้ที่เห็นจะไม่เพียงแค่บุคลากรหรือนักศึกษา แต่เป็นโอกาสสำคัญที่จะสามารถเผยแพร่แนวคิดดี ๆ เหล่านี้ไปสู่ พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ญาติ รวมถึงเพื่อนๆ ของบัณฑิตอีกนัยหนึ่งด้วย